หวย หวยออนไลน์ Jetsadabet

บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทํางานออนไลน์จากที่บ้าน อีกหนึ่งทางเลือกของการทำงาน ในยุคสมัยนี้



 คลิกเพื่อดูรูปขนาดจริงหากท่านต้องการที่จะ ทํางานออนไลน์จากที่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรดี ที่ท่านสามารถ ทํางานออนไลน์จากที่บ้าน ได้จริง ซึ่งบทความนี้ จะบรรยายเกี่ยวกับการ ทํางานออนไลน์จากที่บ้าน ให้ทุกคนได้รู้

หากพูดถึงงานอินเตอร์เน็ต คงหนีไม่พ้นงานที่ต้องทำเป็นเครือข่าย ซึ่งงานที่เป็นเครือข่ายนั้น ก็คงจะเป็นต้องเป็น ธุรกิจเครือข่าย ผมว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ธุรกิจเครือข่ายมาบ้างแล้ว ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า เป็นงานที่ต้อง ขายของชวนคน แต่จริงๆแล้ว งาน ธุรกิจเครือข่าย ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป

หลาย ท่านที่เคยทำธุรกิจเครือข่าย แบบ ออฟไลน์ อาจจะเคยได้ยินปัญหาในการสปอนเซอร์คน ซึ่งอัพไลน์จากโลกออฟไลน์หลายคนนั้น อาจจะแนะนำดาวน์ไลน์ให้ทำธุรกิจเครือข่ายในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมี

  1. ลิสท์รายชื่อคนรู้จัก วิธีนี้เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน แต่ว่า การชวนคนรู้จักมาร่วมทำงานกับเรานั้น ผมว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด ผมเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากทนกับ คำปฏิิเสธ ไม่ได้ แค่ปฏิเสธยังไม่พอ ถ้าเราไปชวนเค้าบ่อยๆ เค้าอาจจะรำคาญเรา จนถึงขั้นเลิกคบเราเลยก็ได้
  2. แจกใบปลิวชวนคนตามที่สาธารณะ อันนี้ผมเห็นบ่อยมาก มีคนที่ดักแจกใบปลิวตามสะพานลอย ชวนคนไปทำธุรกิจเครือข่าย ซึ่งบางคนก็สนใจ บางคนก็ไม่สนใจ แจกเป็นหมื่นๆใบ มีคนสนใจอยู่คนสองคน ซึ่งการทำอย่างนี้ เป็นการรบกวนงานประจำเป็นอย่างมาก เพราะเราต้องไปยืนแจกใบปลิวเป็นชั่วโมงๆ
  3. บอกว่านี่คืองานพาร์ทไทม์ ไม่เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย วิธีนี้ เป็นวิธีที่ระบาดเป็นอย่างมากในตอนนี้ หลายคนอาจจะได้รับอีเมล์ประมาณว่า งานพาร์ทไทม์วันละ XXX บาืท , มีงานเข้า ฯลฯ ซึ่งพอมีคนสนใจกรอกข้อมูลสมัครเข้ามา ก็ต้องเข้าไปฟังงานตามโรงแรม หรือตามออฟฟิศต่างๆ พอเข้าไปฟัง ก็ดันมีคนมาบอกแต่รายได้ ว่าทำแล้วรวย แต่ว่า ไม่บอกวิธีการทำงานอะไรเลย บอกแค่ว่าทำแล้วรวย ซึ่งผิดเจตนาในตอนแรกคือ การทำงานพาร์ทไทม์ และยังหลอกอีกด้วยเรื่อง ค่าสมัคร ค่าบัตรฟังเข้างาน ค่าใช้จ่ายอีก ฯลฯ
การชวนคนเข้ามาร่วมธุรกิจเครือข่าย เราควรจะบอกเขาไปเลยตั้งแต่แรกว่า นี่คืองานธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่มาเที่ยวโกหกเขาว่าเป็นงานพาร์ทไทม์ แล้วสุดท้ายให้เรามาเสียเงินลงทุนราคาแพงๆ ซึ่งผิดทั้งเจตนา ทำให้ตัวธุรกิจนั้น เสียชื่อไปเลยก็มี

ที่ผมพูดมาข้างต้น นั่นก็คือ การทำธุรกิจเครือข่ายแบบเก่าๆ แต่สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ นั่นก็คือ การทำธุรกิจเครือข่ายแบบออนไลน์ ซึ่งเราจะสามารถ ทํางานออนไลน์จากที่บ้าน ได้ แล้วเราจะหาคนในโลกออนไลน์มาร่วมทำธุรกิจกับเราได้อย่างไรล่ะ??

เรามีสิ่งที่เรียกว่า ระบบดึงดูดอัตโนมัติ เป็นระบบที่เราจะเฟ้นหาผู้มุ่งหวังที่ต้องการทำธุรกิจร่วมกับเรา โดยที่เราไม่ต้องใช้วิธีด้านบนทั้ง 3 ข้ออีกต่อไป ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นการ ทํางานออนไลน์จากที่บ้าน ได้อย่างแท้จริง

ระบบดึงดูดอัตโนมัติ ทั้ง 3 นั้น ประกอบด้วย
  1. วิธี เฟ้นหา ผู้มุ่งหวัง แบบอัตโนมัติ
  2. วิธี ดึงดูดและสร้างความสัมพันธ์ กับผู้มุ่งหวัง แบบอัตโนมัติ
  3. วิธี คัดกรอง ผู้มุ่งหวัง แบบอัตโนมัติ
ที่มา make-income-form-internet.blogspot.com

งาน part time



 งาน part time ผ่านเน็ต หรือ งานพาร์ทไทม์ ออนไลน์ ผ่านเน็ต เป็นงานที่มีมากมาย เราสามารถหางาน part time ผ่านเน็ตได้ง่ายๆ ซึ่งแต่ละงานที่เปิดรับสมัครคนมาทำงานพิเศษ part time  ล้วนต้องการคนร่วมงานเป็นจำนวนมาก และยังจ่ายค่าแรงสูงๆ ยิ่งเราสามารถทำงานที่รับ jobs มาทำได้เสร็จไว หลังจากส่งชิ้นงานแล้วเสร็จ ก็จะได้รับค่าแรงในทันที นี่แหละคือข้อดีของการทำงานพิเศษ part time jobs ผ่านเน็ต

 งาน part time ผ่านเน็ต เป็นวิธีการ หาเงินผ่านเน็ต อีกวิธีหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม ในหมู่คนทำงาน ที่ต้องการหารายได้เสริม จากการทำงานประจำ หรือ คนที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งาน internet อยู่ตลอดเวลา การทำงานพิเศษ พาร์ทไทม์ ผ่านเน็ต ถือว่าเป็นอาชีพเสริม ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ที่ทำงานแบบนี้มากพอสมควร ถ้าทำการศึกษา และลงมือทำงาน หาเงินออนไลน์ อย่างจริงจัง

งานพาร์ทไทม์ ผ่านเน็ต มีหลายแบบ เช่น งาน part time พิมพ์งาน ส่ง Email, งานรับจ้างเขียนบทความ ให้กับบรรดา webmaster หรือ รับจ้างโพสต์บทความลงเว็บไซต์ ต่างๆ ซึ่ง งานแบบนี้จะต้องไปหางานทำตามเว็บบอร์ด ที่ประกาศรับสมัครงาน ผ่านเน็ต หรือแหล่งรวม นักหาเงินผ่านเน็ต ที่ เว็บ Thaiseo

งาน part time ออนไลน์ อีกแบบที่ไม่ต้องรับจ้างใคร ก็คือ งานทำเว็บไซต์ หรือทำเว็บบล็อก reviews สินค้า เป็นตัวแทนขายของออนไลน์ โดยการเชียร์สินค้าให้คนไปซื้อที่เว็บไซต์ ขายสินค้า ที่เราเรียกว่า การทำ Affiliate  งานขายของออนไลน์ ให้กับเว็บไซต์ เป็นงานพิเศษ part time jobs ที่กำลังเป็นที่นิยม
ทำกันมากโดยเฉพาะการขายของให้กับ Amazon.com เป็บขายของอันดับหนึ่งของ US

งานพาร์ทไทม์ ผ่านเน็ต เป็นงานที่น่าทำ เหมาะมากกับนักเรียน นักศึกษาที่มีความรู้ด้านการใช้งาน อินเตอร์เน็ต หรือคนที่ต้องการรายได้เสริมผ่านเน็ต แล้วมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ ลองศึกษางานด้านนี้ดู บางที จาก งานเสริมพิเศษ part time อาจกลายเป็นงานหลักที่สร้างรายได้อย่างมากมายก็ได้
ที่มา www.งานพาร์ทไทม์.com

หางานได้จากที่ไหนบ้าง

job_seeker 
ถ้า คุณกำลังมองหางาน ไม่ว่าคุณจะเพิ่งจบการศึกษา หรือ ตกงาน ก็ตาม อย่าตกอกตกใจไปว่างานนั้นหายาก เพียงแค่คุณรู้ว่า บริษัทธุรกิจ ผู้ประกอบการ หรือนายจ้าง เขาประกาศรับ พนักงานกันที่ไหน มีรูปแบบอย่างไร คุณก็จะรู้ว่ามีแหล่งงานให้คุณเลือกไปสมัครกันมากมาย แล้วการหางานก็ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอีกต่อไป
  1. หนังสือพิมพ์
    ในปัจจุบัน หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรืออังกฤษ จะมีหน้ากลาง ซึ่งเป็นหน้าที่รวมประกาศรับสมัครงาน หรือที่เรียกกันว่าหน้า Classifies นั่นเอง นับว่าเป็นวิธีหางานที่สะดวก ราคาถูก และมีการอัพเดตงานใหม่ๆ ทุกวัน ประกาศรับสมัครงานจะมีทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ควรจะพิจารณาเขียนจดหมายสมัครงานให้เหมาะสม เช่น บริษัทที่ประกาศรับสมัครงานเป็นภาษาอังกฤษ ก็ควรเขียนจดหมายสมัครงานเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น
  2. นิตยสารสมัครงาน
    คุณสามารถมองหางานได้ในนิตยสารรวมประกาศรับสมัครงานที่มีขายอยู่ทั่วไป ซึ่งจะมีการอัพเดท เป็นรายวัน รายอาทิตย์ และรายสัปดาห์ ทำให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตำแหน่งงานว่างได้อย่างสม่ำเสมอ
  3. เวบไซต์หางาน
    แหล่ง งานยอดฮิตที่คนสมัยนี้นิยมกัน เห็นจะเป็นเวบไซต์หางานต่างๆ ที่มีให้เลือกกันมากมาย ภายในเวบไซต์จะมีบริการที่คนหางานต้องการ เช่น รวบรวมตำแหน่งงานว่าง ไม่ว่าจะเป็นงานประจำ หรืองานพิเศษ ตลอดจนงานพาร์ทไทม์ (Part time) ต่างๆ  มีบริการให้เขียนประวัติส่วนตัว (Resume) ทิ้งไว้ได้ และถ้าสนใจที่จะสมัครตำแหน่งงานใด ก็สามารถกรอก และส่งใบสมัครออนไลน์ไปยังบริษัทนั้นๆ ได้เลย อีกทั้งยังมีคำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อให้ความรู้ และเป็นการเตรียมตัวให้แก่ผู้สมัครงาน เวบไซต์จึงนับว่าเป็นอีกแหล่งงานที่อำนวยความสะดวกให้กับคนหางานรุ่นใหม่ อย่างแท้จริง
  4. บริษัทจัดหางาน
    เปรียบเสมือนเป็นนายหน้าที่จะจัดหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมให้แก่เรา ควรดูบริษัทให้ดีก่อน ว่าน่าเชื่อถือได้หรือไม่ แต่ถ้าจะให้ดี ควรระวังแก๊งหลอกลวง โดยส่วนมากจะเป็นพวกล่อลวงคนไปทำงานต่างประเทศ
  5. สำนักงานจัดหางาน
    เป็น บริการจัดหางานของกรมการจัดหางาน ภาครัฐ  ที่อำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลที่ว่างงาน หรือต้องการเปลี่ยนงาน ซึ่งจะดำเนินการจัดหาทั้งตำแหน่งงานทั้งใน และต่างประเทศ คุณสามารถ ลงทะเบียนสมัครได้ โดยส่งหลักฐานต่างๆ เช่น รูปถ่าย หลักฐานการศึกษา และสำเนาบัตรประชาชน ฯลฯ เมื่อมีตำแหน่งงานที่ตรงกับคุณสมบัติของคุณทางสำนักงานจึงจะแจ้งให้ทราบอีก ที  รายละเอียดเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานทุกจังหวัด
  6. จากคนรู้จัก
    การ สมัครงานตามแหล่งงานที่มีคนรู้จักแนะนำคุณมา มีข้อดีคือ คุณจะได้ทราบก่อนว่างานนั้นเป็นอย่างไร บรรยากาศในการทำงาน รวมไปถึง สวัสดิการต่างๆ ของบริษัทว่าดีหรือไม่ ลองเลียบๆ เคียงๆถามเพื่อน ญาติ หรือคนรู้จักของคุณดูว่ามีตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับคุณว่างอยู่หรือเปล่า
  7. งานนัดพบผู้ประกอบการ
    โดย ส่วนใหญ่มักจัดขึ้นตามมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือนิสิต นักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษา หรือกำลังจะจบการศึกษา ข้อดีของแหล่งงานนี้คือ เป็นที่รวมตำแหน่งงานว่างจากบริษัทชั้นนำไว้มากมาย ถ้าคุณเป็นนักศึกษาจบใหม่ หรือกำลังจะจบการศึกษาก็สามารถที่จะไปเลือกสมัครงานกับบริษัทได้โดยตรง ทั้งนี้ ควรเตรียมหลักฐานการสมัครงานไปพร้อมด้วย เพื่อที่จะกรอก และส่งใบสมัครงานได้ทันที

ที่มา:www.tumcivil.com

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการสมัครงานทางอินเตอร์เน็ต

สมัครงานทางอินเตอร์เน็ต  

สมัครงานทางอินเตอร์เน็ตนับเป็นอีกช่องทางในการสมัครงานน้องใหม่ไฟแรงสูงและดูท่าว่าจะไม่มีทางมอดลง ง่ายๆ ซะด้วย ทั้งลูกจ้างและผู้สมัครงานต่างให้การตอนรับอย่างท่วมท้น ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายต่อหลายคน แต่นั่นแหละ เมื่อสามารถอำนวยความสะดวกอย่างมากแล้ว ปัญหาปลีกย่อยๆ จึงมากมายเป็นเงาตามตัว....แต่คุณจะไม่ “พลาด” แน่ หากยังตั้งใจอ่านต่อไปนะ


การสมัครงานทางอินเตอร์เน็ตมี 3 แบบ
1. สมัครผ่านเว็บไซต์จัดหางาน
ปัจจุบันนี้มีบริการนี้เพิ่มขึ้นมากมาย เช่น
www.jobdb.com,  www.jobthai.com, www.nationejobs.com, www.jobtopgun.com
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้สมัครทั้งสิ้น  แต่อาจเรียกเก็บค่าบริการจากนายจ้าง  ในกรณีสมัครเป็นสมาชิกเพื่อใช้สิทธิ์เข้าไปค้นใบสมัครตำแหน่งที่ต้องการใน ฐานข้อมูลของเว็บไซต์
คุณสามารถเข้าไปลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกประเภท  Job Seeker  หรือ Employee ของเว็บไซต์ได้  โดยจะได้รับ User Name  พร้อม  Password เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบได้ทันที  หลังจากนั้นก็เริ่มสร้าง Resume ส่วนตัว  ไม่ยุ่งยากเลย เพียงแต่คีย์ข้อมูลส่วนตัวลงไปในช่องต่างๆ จนครบเท่านั้น  Resume ส่วนตัวของคุณก็จะถูกเก็บไว้เป็นหลักฐานข้อมูลเพื่อให้นายจ้างเข้ามาค้นหาดู ได้  และคุณยังสามารถค้นหาตำแหน่งงานที่ต้องการสมัครได้อีกด้วย  เมื่อค้นเจอและต้องการสมัคร  แค่คลิกส่งตามขั้นตอนของแต่ละเว็บไซต์  Resume ของคุณก็จะถูกส่งไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของบริษัทนั้นๆ เพื่อให้บริษัทเข้ามาเปิดดูและนำไปพิจารณา
เพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเองมากที่สุด  คุณควรเข้าไปลงทะเบียนและสร้าง Resume เก็บไว้หลายเว็บไซต์  เพราะแต่ละเว็บไซต์  จะมีบริษัทที่ใช้บริการลงประกาศรับสมัครงานแตกต่างกัน  คุณจึงไม่ควรทิ้งโอกาสดีๆ เหล่านี้
เหมือนกับการขายของนั่นแหละ  โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไหร่  ยอดขายก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

มีบางคนบ่นเข้าหูมาว่า  ลงทะเบียนไว้หลายเว็บ  แต่พอจะเข้าระบบมีปัญญาทุกครั้ง  เพราะคีย์ Password ผิด  การป้องกันปัญหานี้ง่ายมาก ด้วยการใช้ User Name  และ  Password  เดียวกันทุกเว็บกันดีกว่าไหม  ง่ายดี  ไม่สับสน  หรือถ้าอยากใช้หลายๆ ชื่อ  คงต้องจดใส่สมุดบันทึกกันลืมกันแล้วละ
เมื่อคุณเข้าไปสร้าง Resume  เก็บไว้แล้ว  อย่าลืมแวะเวียนเข้าไปเช็คบ้าง  บางบริษัทอาจจะนัดสัมภาษณ์คุณ  ด้วยการส่งจดหมายกลับมายังเว็บนั้น  ที่สำคัญ  หากคุณมีข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม  เช่น  หมายเลขโทรศัพท์  หรือที่อยู่  ต้องรีบเข้าไปแก้ไขทันที  เพื่อให้ Resume ของคุณสมบูรณ์  เป็นปัจจุบันมากที่สุด  จะได้ไม่พลาดการติดต่อ...

ข้อดีของการสมัครงานทางอินเตอร์เน็ตคือ  สะดวกและรวดเร็ว  นายจ้างเองก็สะดวกในการพิจารณาใบสมัครทุกใบที่มีรูปแบบเหมือนกัน  ง่ายต่อการเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆ ของผู้สมัครแต่ละตำแหน่ง  ผู้สมัครเองก็สะดวก  แค่เข้าไปสร้าง Resume เก็บไว้ครั้งเดียวก็สามารถส่งไปสมัครงานได้หลายบริษัท

2. สมัครงานด้วยการส่งอีเมล์ถึงบริษัทโดยตรง
ช่องทางนี้  ใช้สำหรับผู้ไม่ต้องการหรือขี้เกียจนั่งคีย์ข้อมูลลงในฐานข้อมูลของเว็บไซ ต์หางาน  แต่ต้องการส่งจดหมายและ Resume ที่ทำขึ้นเองไปยังบริษัทโดยตรง  สามารถทำได้ค่ะ  ด้วยการค้นหาตำแหน่งงานที่สนใจในเว็บไซต์หางานทั่วไป  คลิกเข้าไปดูรายละเอียดตำแหน่งงานบริษัท  จด E-mail Address ไว้เพื่อส่งใบสมัครไปยังบริษัท หรือคุณอาจเจอตำแหน่งที่น่าสนใจในหนังสือหางานต่างๆ ก็สามารถจด E-mail Address แล้วใช้ส่งวิธีนี้ได้เหมือนกัน
การสมัครงานวิธีนี้  ทำให้นายจ้างรู้จักคุณได้มากกว่าวิธีแรก  เพราะสามารถแนบไฟล์ (Attach  File)  เพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามความต้องการของคุณ  เมื่อมีข้อดีอย่างนี้  ข้อควรระวังต่างๆ ก็มีมากเช่นกันอย่างแรก  ชื่ออีเมล์ที่ส่ง (Subject)  ควรตั้งเป็นชื่อ
ตำแหน่งที่ต้องการสมัคร  เช่น  “สมัครงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์”  หรือ  “Apply for Public Relation Position” เป็นต้น  เพราะใบสมัครที่เข้าไปยังบริษัทในแต่ละวัน  การันตีได้เลยว่า  ไม่ใช่มีของคุณคนเดียว  และไม่ใช่แค่ตำแหน่งเดียวด้วย  บางบริษัท 1 วันมาเป็นร้อยเป็นพันฉบับ

คุณจะไม่พลาดตั้งแต่แรก  ถ้าตั้งชื่ออีเมล์เป็นชื่อตำแหน่ง  จะป้องกันการตกหล่นสูญหายจากระบบ  ในกรณีที่บริษัทคัดแยกใบสมัครลงโฟลเดอร์ (Folder) จะด้วยระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบคนพิวเตอร์ก็อีเมล์ก็ตามแต่  ส่วนใหญ่การแยกหมวดหมู่ใบสมัครมักอ้างอิงตามชื่อตำแหน่ง
เป็นหลักในการจัดเก็บ  ถ้าส่งไปโดยไม่ตั้งชื่ออีเมล์เป็นชื่อตำแหน่ง  เจ้าหน้าที่จะต้องเสียเวลาคลิกเข้าไปดูใบสมัครของคุณก่อน  ถึงจะรู้ว่าสมัครตำแหน่งอะไร  ถ้าเขาขยันคลิกก็นับเป็นผลบุญที่คุณเพียรทำไว้แต่ชาติปางก่อน  แต่ถ้าเกิดขี้เกียจคลิกเมาส์ซ้าย  แล้วพาลคลิกเมาส์ขวา  กด  Delete  ส่งใบสมัครของคุณลง  Recycle Bin นี่สิ  น่าเศร้า  หมดสภาพตั้งแต่ยังไม่ออกสตาร์ท....น่าเสียดายจริงๆ

สำหรับไฟล์ที่แนบ  (Attach File)  เป็นเอกสารประกอบการพิจารณาไปกับเมล์  ควรมีแค่ 1 หรือ 2 ไฟล์  (ถ้าเป็นไปได้)  นั่นคือจดหมายนำและ  Resume แค่นี้นับว่าเพียงพอแล้วละในการพิจารณาเบื้องต้น  ไม่ยุ่งยากในการคลิกดู  บางคนแนบมา 4 – 5 ไฟล์  กว่าจะดูเอกสารประกอบครบเสียเวลาไปหลายนาที (ไม่รู้คุ้มหรือเปล่า  ถ้าคุณสมบัติไม่ได้เรื่องอีกต่างหาก)  แถมบางคนขยันแนบเอกสารที่ไม่จำเป็นในการพิจารณาเบื้องต้นไปอีกเพียบ  เช่น  แสกนบัตรประชาชน  สำเนาทะเบียนบ้าน  ใบผ่านงาน  ใบรับรองยกเว้นการเกณฑ์ทหาร  และที่เด็ดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาคือ  ใบสูติบัตรหรือใบแจ้งเกิดนั่นเอง  เอาเข้าไปนั่น  เปิดเข้าไปเห็นแล้วงงไม่หาย  จะส่งมาทำไม?  บอกอีกกี่ครั้ง  นี่แค่พิจารณาเบื้องต้น  ถ้าผ่านเรียกสัมภาษณ์เมื่อไหร่  เมื่อนั้นแหละที่คุณสามารถนำเอกสารประกอบมาได้ตามใจต้องการ  ไม่มีใครว่าอะไรแน่นอน

อุปสรรคของการส่งไฟล์ประกอบที่เป็นรูปภาพคือเสียเวลาในการโหลด  บางคนแสกนภาพมาด้วยพิกเซลที่สูงเกินพิกัด  คุณที่อ่านถึงตรงนี้อาจมีคำถามเกิดขึ้นในใจ ในเมื่อรู้ว่าเป็นไฟล์อะไร  แล้วเปิดเข้าไปดูทำไม?  ทำไมนะหรือ  มันไม่มีชื่อไฟล์นะซิ  บางไฟล์ใช้ชื่อ  001,____? เป็นต้น  จนปัญญาจริงๆ  เปิดไปพลาง  โมโหไปพลาง  เกิดไปเจอเจ้าหน้าที่ขี้รำคาญเข้า มีหวังใบสมัครโดนลอยแพเกลื่อนแน่  อุตส่าห์หวังดี  คิดเผื่อว่าบางคนอาจจะแสกนจดหมายนำกับ Resume  มาเป็นไฟล์ภาพ  เลยไม่อยากให้เสียโอกาสในการได้งาน

การตั้งชื่อไฟล์ที่แนบประกอบอย่างจดหมายนำและ Resume  สำคัญไม่แพ้การตั้งชื่อเมล์เลย  เมื่อบริษัทเปิดไฟล์พิจารณาใบสมัครแล้ว  เกิดสนใจ  เข้าตา  ไฟล์นั้นจะถูกนำไปเก็บไว้ในอีกโฟลเดอร์หนึ่งทันที  ชื่อไฟล์จึงควรมีทั้งชื่อผู้สมัครและตำแหน่งที่สมัครอยู่ด้วยกัน  เช่น  “เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ – นางสาวหางาน  ไม่เคยพลาด”  การตั้งชื่อไฟล์แบบนี้นอกจากอำนวยความสะดวกให้กับบริษัทแล้ว  ตัวคุณเองก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน  หากไฟล์นี้ตกหล่นไปอยู่ที่ใด  จะสามารถเรียกมาเก็บไว้ในโฟลเดอร์ตำแหน่ง  “เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์” ได้....ไม่มีพลาดสมนามสกุลแน่นอน

ไฟล์จดหมายนำและ Resume ที่แนบ ควรอยู่ในรูปเอกสาร Microsoft  Word ซึ่งเป็นโปรแกรมสากลที่ทุกบริษัทใช้กัน  เอื้อสำหรับการเปิดอ่านและพิมพ์มากที่สุด  ใน Resume ควรมีรูปถ่ายอยู่ด้วย  เพื่อประโยชน์สำหรับการพิจารณาในบางตำแหน่ง  แค่แสกน  วางลงใน  Resume ไม่จำเป็นต้องแนบไปอีกไฟล์
ถ้าไม่มีจดหมายนำ  คุณต้องแจ้งตำแหน่งที่สมัครไว้ใน Resume หลายคนพลาดตรงจุดนี้  ส่งมาแค่  Resume  อย่างเดียว  โดยไม่ระบุตำแหน่งที่ต้องการสมัคร  หากคุณจบในสาขาที่ก้ำกึ่ง  เจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนคุณได้  ไม่รู้จะเก็บไว้ในโฟลเดอร์ชื่ออะไร  อยากช่วยใจจะขาด  แต่เดาใจไม่ถูกจริงๆ........

3. สมัครผ่านเว็บไซต์ของบริษัท
ทุกวันนี้  มีหลายบริษัทใช้ช่องทางนี้กันมากขึ้น  เช่น  เทเลคอมเอเชีย  แลนด์แอนด์เฮาส์  ซีเมนต์  7-Eleven  จากเมื่อก่อน  มีแค่ประกาศตำแหน่งงานว่าง  แจ้งให้ผู้สมัครทราบในเว็บไซต์เท่านั้น  หากสนใจต้องส่งไปสมัครไปทางไปรษณีย์หรือทางอีเมล์
ในปัจจุบันแต่ละบริษัทเริ่มมีฐานข้อมูลของผู้สมัครงานเก็บไว้ในเว็บไซต์ของ ของตัวเองมากขึ้น  โดยมีช่องให้ผู้สมัครคีย์ข้อมูลส่วนตัวเข้าไปเหมือนกับการสร้าง Resume ในเว็บไซต์หางานทั่วไป ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้น  ข้อมูลของคุณจะถูกส่งไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของบริษัทโดยตรง  เพื่อรอการพิจารณาต่อไป
ส่วนใหญ่ผู้สมัครด้วยวิธีนี้ทราบข่าวประกาศรับสมัครงานของบริษัทนั้นๆ มาก่อน จากช่องทางใดก็แล้วแต่  เมื่อสนใจจึงต้องการเข้าไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวบริษัท  ทั้งประวัติ  ผู้บริหาร  โครงสร้างขององค์กร  รูปแบบธุรกิจ  สินค้าและบริการ  รวมทั้งผลประกอบการเพื่อเป็นข้อมูล แล้วบังเอิญได้พบว่ามีการสมัครผ่านเว็บไซต์จึงตัดสินใจสมัคร
การสมัครด้วยวิธีนี้  มีข้อดีที่คุณสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัททุกแง่ทุกมุมได้ก่อนการ ตัดสินใจสมัคร  เป็นสิ่งดีที่คุณจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในการสัมภาษณ์งาน  กรณีที่คุณได้รับเลือกให้เข้ารับการสัมภาษณ์  แต่ฉันมักได้ยินคนบางคนบ่นไม่ชอบการสมัครงานแบบนี้เท่าไหร่  เพราะต้องคีย์ข้อมูลใหม่ทุกครั้งเมื่อต้องการสมัครกับแต่ละบริษัท  อยากสมัคร 10 บริษัท  ก็ต้องคีย์ข้อมูลใหม่ซ้ำๆ น่าเบื่อถึง 10 ครั้ง  แถมบางทีคีย์ข้อมูลเข้าไปเกือบเรียบร้อยแล้ว  ระบบเกิดมีปัญหาดื้อๆ  ซะอย่างนั้น  จะคีย์ใหม่ก็ขี้เกียจ  เลยกลับไปคลิกไปส่ง  Resume  ในเว็บไซต์สมัครงานแบบเดิมดีกว่า  ง่ายดี  ไม่เสียเวลา  ได้ครั้งละหลายๆ บริษัท  ข้อเสียอีกอย่างที่รู้มา.....บางบริษัทมักไม่อัพเดทส่วนนี้เลย  ประกาศไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว  ปีนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน  ทำให้ผู้สมัครไม่รู้ว่า  ตำแหน่งที่บอกว่าว่างนั้นปัจจุบันยังว่างอยู่หรือเปล่า?
แล้วแต่ค่ะ  ว่าคุณชอบ  สะดวก  และถนัดแบบไหนเมื่อเทคโนโลยีถูกพัฒนามาให้เราได้ใช้เพื่อความสะดวกและรวด เร็วในการส่งข้อมูลในชีวิตประจำวันก็น่าลองใช้ดูนะ  ถ้ามันจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง  ที่ช่วยให้การสมัครงานของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม  แถมมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย
ที่ผ่านมาคือช่องทางทั้งหมดที่คุณสามารถสมัครงานได้  ข้อดี-ข้อด้อย  และรายละเอียดปลีกย่อยก็แตกต่างกันไป  ขึ้นอยู่กับคุณแล้วละว่า....จะถนัดและคิดว่าช่องทางไหนเหมาะกับตัวคุณ  ไม่แนะนำให้เลือกเพียงช่องทางเดียว  เพราะว่าจะเสียโอกาสนำเสนอความสามารถของตัวเองให้กับนายจ้างในอนาคตของคุณไป

เมื่อการโฆษณาสินค้าในปัจจุบันได้พัฒนาไปถึงการใช้สื่อแบบบูรณาการ  หรือการใช้สื่อแบบครบวงจร  ทำให้การโฆษณานั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นแล้ว คุณเองก็เหมือนกัน  ถ้าต้องการให้ใบสมัครของคุณเข้าถึงกลุ่ม (นายจ้าง)  เป้าหมายมากที่สุด  ช่องทางสมัครงานแบบบูรณาการ....ก็น่าจะช่วยคุณได้ไม่น้อย

**************************************

“สมุดบันทึกการสมัครงาน”  คัมภีร์ประจำตัว.....

เมื่อคุณได้ลงสนามหางานจริง และเลือกใช้ช่องทางต่างๆ เพื่อสมัครงานตามที่ต้องการแล้ว  สิ่งที่ขอแนะนำอีกอย่างให้คุณมีไว้คือ  สมุดบันทึกการสมัครงาน  ถ้าคุณไม่มีสมุดเปล่า  อาจต้องหาซื้อมาสักเล่ม  ไม่ต้องใหญ่หรือหนามาก  เพราะคุณคงไม่ใช้เวลาในการหางานมากนักหรอก  (ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบ)

“สมุดบันทึกการสมัครงาน”  เป็นเหมือนคัมภีร์ที่ติดตัวคุณไปทุกที่ที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงาน  ข้อมูลหลักๆ ในนั้นคือ

- ตารางการสมัครงาน  : ตำแหน่งงาน  บริษัท  ช่องทาง  และวันที่คุณสมัคร
- ตารางการนัดสัมภาษณ์งาน  :  ตำแหน่งงาน  บริษัท  เวลานัดหมาย  สถานที่  ชื่อผู้ติดต่อ  หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับ  และวันที่คุณได้รับการนัดหมาย
- ตารางการสัมภาษณ์งาน  :  ตำแหน่งงาน  บริษัท  เวลานัดหมาย  สถานที่  ชื่อผู้ติดต่อกลับ  เงินเดือนที่ต่อรองไว้  และวันเวลาที่คุณไปสัมภาษณ์งาน
- รายชื่อ  ที่อยู่  หมายเลขโทรศัพท์  E-mail  Address  ของบริษัทที่คุณสนใจสมัครงาน  แต่ยังไม่ได้สมัคร
- ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่างๆ เกี่ยวกับการสมัครงานที่คุณได้รับทราบมา  ไม่ว่าจาก Campus  Visit  คู่มือการหางาน  อินเทอร์เน็ต  หรือบุคคลอื่นๆ  เขียนไว้เป็นหมวดหมู่  เปิดหาง่ายเมื่อต้องการใช้
คัมภีร์เล่มนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงานของคุณไว้หมด คุณสมบัติคงไม่ยิ่งหย่อนกว่า  Smart  Card  มากนัก......อยากใช้ข้อมูลอะไร  มันจะเรียงหน้าสลอนออกมาให้คุณเห็น  คุณจะรู้ว่าได้สมัครงานที่ไหนไว้บ้าง  เมื่อถูกเรียกสัมภาษณ์  จะได้ไม่งงและสับสนว่าบริษัทไหน  ตำแหน่งอะไร  เมื่อไหร่  เชื่อเถอะ  ถึงเวลานั้นคุณสมัครไปแล้วไม่น้อยกว่า 20 บริษัท แน่นอน  ซึ่งถ้าไม่ได้จดไว้  รับรองไก่ตาแตกเป็นอย่างไร  วันนั้นคุณจะได้รู้จักเสียที.....
“สมุดบันทึกการสมัครงาน”  ควรเก็บไว้ในแฟ้มเดียวกับหลักฐานประกอบอื่นๆ  ที่คุณต้องนำติดตัวเสมอเมื่อไปสมัครงาน
สรุปแล้วในแฟ้มมหัศจรรย์นี้ต้องมี  หลักฐานประกอบการสมัครงานที่ถ่ายเอกสารไว้คลิปรวมเป็นชุด  ใบสมัครงานต้นแบบ  รูปถ่าย  เครื่องเขียน  และพระเอกของเรา  “สมุดบันทึกการสมัครงาน”  เช็คดูให้แน่ใจว่า  ทุกอย่างในแฟ้มอยู่ครบก่อนออกปฏิบัติการ  แฟ้มนี้ไม่ใช่กระเป๋าโดเรมอนที่โนบิตะอย่างคุณจะนั่งไทม์แมชีนกลับไปหยิบของ ที่ลืมได้ง่ายๆ

เมื่อพร้อมอย่างนี้แล้ว  คุณจะรู้สึกอุ่นใจ  มั่นใจมากขึ้นทุกครั้งที่ต้องออกลุยภาคสนาม ในขณะที่โอกาส “พลาด” ของคุณกลับน้อยลง   ข้อมูลอ้างอิงจาก
[Image] กลยุทธ์เด็ด คว้างานดี ชีวิตนี้ไม่มีเตะฝุ่น โดย ปนัฎดา สังข์แก้ว
[Image] http://www.tlcthai.com
ที่มา http://www.jobnorththailand.com/learndetail.php?le_id=000021

หลักฐานการสมัครงาน


หลักฐานการสมัครงาน....
หลักฐานในการสมัครงานเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างยิ่งใน การสมัครงาน ซึ่งเอกสาร ที่คุณควรจัดเตรียมไว้... หลักฐานในการสมัครงานเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างยิ่งใน การสมัครงาน ซึ่งเอกสาร ที่คุณควรจัดเตรียมไว้มีดังนี้
1. ประวัติส่วนตัว ประวัตย่อ (Resume)
2. รูปถ่าย ควรเป็นรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว โดยเป็นรูปสีหรือขาวดำก็ได้ แต่ขอให้เป็น การแต่งกาย ที่สุภาพ
3. สำเนาใบรับรองการศึกษา ได้แก่ Transcipt และสำเนา ใบปริญญาบัตร
4. สำเนาบัตรประชาชน
5. สำเนาทะเบียนบ้าน
6. สำเนาหลักฐานการพ้นภาระทางการทหาร
7. สำเนาหนังสือรับรองการผ่านงานหรือการฝึกงาน (ถ้ามี)
ปล. เอกสารเหล่านี้ควรเตรียมถ่ายสำเนาไว้หลายๆ ชุด และที่สำคัญอย่าลืม เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
อ้างอิง : สำนักงานจัดหางาน จังหวัดเชียงใหม่
ที่มา http://www.lionjob.com/Article-JobtipDetail.php?CID=995&ALL=ALL&adodb_next_page=5

3 ปัจจัย ให้ได้งาน เมื่อเรียนจบ

สมัครงาน


          ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ เราคงจะรู้สึกว่ารถมันติดมากผิดปกติ สาเหตุหนึ่งก็มาจากเรามี บัณฑิตจบใหม่เข้ารับปริญญาบัตรกันแทบทุกสถาบันต่อเนื่องหลายวัน เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประเทศไทยจะได้คนรุ่นใหม่มาเป็นกำลังช่วยพัฒนาบ้าน เมืองเพิ่มขึ้น ซึ่งในความน่ายินดีนี้คุณรู้ไหมว่าปีหนึ่งๆ มีเด็กจบออกมากว่าสองแสนคนแต่จะมีคนที่ได้งานทำทันทีประมาณห้าหมื่นคน นั่นเท่ากับทุกสี่คนจะมีคนต้องรองานถึงสามคนถ้าเราเป็นเด็กจบใหม่เราอยากให้ ตัวเองเป็นหนึ่งคนที่ได้งานหรืออยู่ในสามคนที่ไม่ได้งานทันทีที่จบ ฉบับนี้เราขอเสนอ 3 ปัจจัยที่มีส่วนทำให้เราได้งานมากขึ้น พูดอีกแบบคือถ้าใครมี 3 ปัจจัยนี้แล้ว ก็จะช่วยให้เป็นแต้มต่อข้อได้เปรียบในการหางานนั่นเองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

Internship

          นัก ศึกษาทุกคนต้องผ่านวิชาการฝึกงานมาแล้วทั้งนั้น แล้วถามว่ามันจะสร้างความได้เปรียบได้ยังไงในเมื่อทุกคนก็เคยฝึกงาน ขอบอกว่าต่างมากเลยล่ะ เพราะอะไร ก็เพราะว่าการฝึกงานก็เสมือนการที่เราได้มีโอกาสแสดงฝีมือให้รุ่นพี่มือ อาชีพเขาได้เห็นกับตาตัวเอง ใครทำงานได้ดีแค่ไหน ใครเก่ง ใครขยัน ใครอดทน ใครสู้งาน ใครเป็นยังไงพี่ๆ เขาดูออกได้ไม่ยาก ซึ่งจะทำให้เขาเล็งเห็นถึงความสามารถในตัวเราถ้าเราทำให้เขาประทับใจได้ใน ขณะที่ฝึกงาน เมื่อใดที่เราเรียนจบ ก็เหมือนคนเคยรู้จักกันมาก่อน เคยเห็นฝีไม้ลายมือกันมาบ้างแล้ว สิ่งนี้ก็จะกลายมาเป็นแต้มต่อให้เขาเลือกเราเข้าทำงานจริงได้ ถ้าเด็กคนไหนรู้จักใช้การฝึกงานเป็นเวทีโชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ เมื่อฝึกงานเสร็จ คุณอาจจะได้ยิน คำพูดทำนองว่า "น้องเรียนจบเมื่อไหร่ก็กลับมาหาพี่อีกทีนะ" และนี่ก็คือแต้มต่อที่คุณมีมากกว่าเด็กคนอื่นแล้วนั่นเอง

Network

          เรา เรียกมันว่า สายสัมพันธ์ สิ่งนี้ก็สำคัญมันเกิดขึ้นได้จากการสร้างและสะสม ซึ่งมีอยู่สองวิธีคือ คุณสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง เช่น การขอเข้าไปฝึกงานอย่างที่บอกไปข้อแรก คุณก็จะได้พาตัวเองไปเจอกับพี่ๆ ในบริษัทนั้นๆ ซึ่งถือเป็นประตูบานแรกสุดที่จะทำให้คุณได้รู้จักคนมากขึ้น วิธีที่สองก็คือเมื่อคุณเข้าไปฝึกงานหรือทำงานที่ไหนสักแห่ง คุณก็ต้องพบเจอกับคนนอกบริษัทที่อยู่ในสายธุรกิจในวงการเดียวกันด้วยแน่นอน อาจจะมาจากการที่พี่เขาให้คุณช่วยติดต่อประสานงานกับคนนอกบริษัทหรือการที่ คนภายนอกเข้ามาติดต่อทำงานร่วมกับบริษัทที่คุณฝึกงานอยู่ ถ้าคุณฉลาดพอที่จะทำความรู้จักเก็บเกี่ยวและสะสมคนรู้จักไปเรื่อยๆ คุณก็จะมีพี่ๆ ที่สามารถพูดคุยปรึกษาเรื่องการทำงานได้มากขึ้น ยิ่งคุณรู้จักคนมากเท่าไหร่ โอกาสในการมีงานทำก็มากขึ้นเท่านั้น ถ้าคนในบริษัทที่เราไปฝึกงานเขาไม่ถูกใจเรา ก็อาจจะมีคนอื่นนอกบริษัทที่เขาสนใจในตัวคุณก็ได้ การรู้จักคนมากๆ ยังไงก็ได้เปรียบ ลองคิดดูว่ามีคนรู้จัก 10 คนกับมี 100 คน ลู่ทางไหนจะมากกว่ากัน

Passion

          อยาก จะบอกว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณมีแรงปรารถนาในสิ่งที่คุณทำมากๆ รัศมีความสนใจใฝ่รู้มันจะแผ่ขยายออกไปรอบๆ ตัวคุณจนคนอื่นเขารับรู้ได้เอง เวลาคุณไปทำงาน พี่ๆ เขาก็จะรู้สึกว่าน้องคนนี้มีความกระตือรือร้น เวลาสัมภาษณ์งานพี่เขาก็มองเห็นแววตาที่เปร่งประกายบ่งบอกให้เห็นความอยากทำ งานด้วยความจริงใจ ใครมีความปรารถนาแรงกล้ามาก ก็จะได้เปรียบเด็กคนอื่นที่ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร ไปฝึกงานก็ทำไปงั้นๆ ไม่สนใจไม่ขวนขวายมาทำ แค่ขอผ่านวิชานี้เท่านั้น เวลาสัมภาษณ์งานก็ไม่มีอะไรแสดงให้พี่เขาเห็นว่าน้องมีความทะยานอยากได้งาน นี้จริงๆ พี่เขาก็ไปเลือกคนอื่นดีกว่า สุดท้ายขนาดตัวเราเองยังไม่มีความสนใจ แล้วใครจะมาสนใจในตัวเราได้ล่ะ

          ทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ถ้าเด็กคนไหนเริ่มตั้งแต่ตอนเรียนตอนฝึกงานทำงานอย่างเต็มที่ แสดงฝีมือให้เป็นที่ประทับใจของพี่ๆ ในวงการ จนเรียนจบสมัครงานและได้สัมภาษณ์งานจริง การได้งานก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากของชีวิต เพราะชีวิตมีอะไรยากๆ รอเราอยู่ในการทำงานจริงอีกเยอะ

          ขอให้น้องบัณฑิตจบใหม่ทุกคนโชคดี...

ข้อมูลจาก
 
 ที่มา http://hilight.kapook.com/view/25478

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Job Interview Guide - สัมภาษณ์อย่างไรให้ได้งาน - แต่งกายอย่างไรในวันสัมภาษณ์

สัทภาษณ์อย่างไรให้ได้งาน - แต่งตัว
ทุกคนคงทราบกันดีแล้ว ในวันสัมภาษณ์นั้นเราควรจะแต่งกายให้สุภาพ ถูกกาลเทสะ เพื่อเป็นการให้เกียรติสถานที่และผู้สัมภาษณ์ โดยการแต่งกายนั้นนอกจากทำให้ดูดีแล้ว ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าผู้สมัครคนนี้เหมาะกับงานหรือไม่ ซึ่งผู้สมัครควรคำนึงถึงงานที่เราสมัครด้วย เช่น หากเราต้องการสมัครงานอาชีพบริการ เราก็ควรจะแต่งกายให้ถูกระเบียบเรียบร้อยและดูเป็นมืออาชีพ แต่ถ้าเราต้องการสมัครงานด้านครีเอทีฟหรืองานโฆษณา เราก็ควรที่จะแต่งกายให้ดูคล่องแคล่ว และดูทันสมัยในเวลาเดียวกัน เป็นต้น

หลักการในการแต่งกายในวันสัมภาษณ์งาน แบ่งออกได้เป็น

ผู้หญิง

1. เสื้อผ้า
ควรสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เป็นชุดแบบสองชิ้น นั่นก็คือ เสื้อ และ กางเกง หรือ กระโปรง เนื่องจากเป็นการแต่งกายที่ดูทะมัดทะแมงและถูกกาละเทสะมากกว่าการ สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียว เช่น ชุดแซ็ค

2. เสื้อสูท หาก สถานที่ที่เราไปสมัครนั้นเป็นองค์กรที่ใหญ่โตหรือโรงแรม เราก็ควรที่จะให้เกียรติกับสถานที่ โดยการใส่สูท เพื่อเป็นการให้เกียรติสถานที่ และนอกจากนั้นยังทำให้เราดูสง่าและดูดีอีกด้วย โดยสีเสื้อสูทหรือแจ๊คเก๊ตนั้น แนะนำให้ใส่สี ดำ เทา ครีม เบจ หรือสีอื่นๆที่ตัดหรือเข้ากับเสื้อเชิ๊ตด้านใน

3. รองเท้า แนะ นำให้ใส่รองเท้าคัชชู หรือ รองเท้าที่ปกปิดนิ้วเท้า ไม่ควรใส่รองเท้าเปลือยส้น (รองเท้าที่ไม่มีสายรัดส้น) รองเท้าแฟชั่น หรือ รองเท้าที่มีส้นสูงจนเกินไป

4. กระเป๋า ควรเลือกใช้กระเป๋าที่ดูเรียบ ไม่ใหญ่เทอะทะ โดยไม่ควรใช้กระเป๋าแฟชั่น หรือ กระเป๋าที่มีลวดลายและสีสันต่างๆ

5. เครื่องประดับ ควรเลือกเครื่องประดับที่ไม่ใหญ่เทอะทะ หรือ มีสีสันต่างๆ และหากเป็นงานทางด้านบริการ แนะนำให้ใส่ ต้มหูเล็กๆ หรือ ต้มหูมุก และไม่ควรสวมใส่สร้อยคอ หรือกำไลข้อมือ

ผู้ชาย

1. เสื้อผ้า
ควรแต่งกายให้ดูภูมิฐาน โดยการใส่เสื้อเชิ๊ตพร้อมผูกเนคไท และ กางเกงสแลค และควรใส่เข็มขัดสีดำ ไม่มีลวดลาย

2. เสื้อสูท หลาย คนคงไม่ชื่นชอบการใส่สูทเท่าไรนัก ทั้งที่จริงๆแล้วการสมัครงานทุกครั้งเราควรที่จะใส่สูททุกครั้ง (ยกเว้นการสมัครงานที่ต้องใช้ความคล่องตัวต่างๆ) เนื่องจากการสัมภาษณ์งานนั้นเป็นการพบปะครั้งแรกระหว่างตัวแทนผู้ว่าจ้างกับ ผู้สมัคร ดังนั้นเราจึงควรที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้สัมภาษณ์ให้มากที่สุดเท่า ที่จะทำได้

3. รองเท้า ควรใส่รองเท้าหนังสีดำ รูปทรงมาตรฐาน ไม่ใส่รองเท้าหัวแหลมหรือรูปทรงแฟชั่นต่างๆ และควรขัดรองเท้าให้เงา

4. กระเป่า เป็น อีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้างความภูมิฐานให้กับเราเป็นอย่างมาก โดยกระเป๋าควรเป็นกระเป๋าหนังสีดำ น้ำตาล หรือ สีใกล้เคียงอื่นๆ โดยเราอาจจะใช้กระเป๋าใส่เอกสารเล็กๆที่ดูทะมัดทะแมงก็ได้

5. เครื่องประดับ สำหรับผู้ชาย ไม่ควรที่จะสวมใส่เครื่องประดับใดๆทั้งสิ้น เช่น กำไลข้อมือ สร้อยคอ และอื่นๆ สิ่งเดียวที่ควรมี ก็คือ นาฬิกา

ที่มา:http://www.bkkresume.com

8 ข้อผิดพลาดในการสัมภาษณ์งาน


สัมภาษณ์ งาน
          ผู้ หางานบางคนตระเวนไปสัมภาษณ์งานตามบริษัทต่างๆ กว่า 30 บริษัท แต่ไม่มีแม้บริษัทเดียวที่รับเขาเข้าทำงาน เขาไม่ดีตรงไหน เขาทำอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือง
          บาง ทีเขาอาจไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ได้ทำสิ่งต้องห้ามในการสัมภาษณ์งานลงไป และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงหางานทำไม่ได้เสียที ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง

  1. ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
  2.           ไม่ ว่าคุณจะรู้สึกกลัว กังวล โกรธ หรือเคอะเขิน คุณต้องกำจัดหรืออย่างน้อยควรควบคุมอารมณ์เหล่านี้ให้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้บั่นทอนความมั่นใจของคุณ
  3. ไม่เตรียมข้อมูลก่อนมาสัมภาษณ์
  4.           ก่อน การสัมภาษณ์สิ่งที่คุณควรทำคือหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและผู้สัมภาษณ์ให้มาก ที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณมีความสนใจและตั้งใจจริงที่จะร่วมงานกับบริษัท แต่ถ้าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทที่คุณมาสมัครงานเลย คุณจะเอาชนะคนอื่นๆ ที่เตรียมหาข้อมูลมาอย่างดีได้อย่างไร
  5. สนใจแต่ความต้องการของตนเอง
  6.           ผู้ หางานหลายคนสนใจเพียงว่าตนจะได้รับอะไรจากบริษัทบ้าง อย่างนี้ผู้สัมภาษณ์คงไม่ชอบใจนัก เพราะเขากำลังมองหาคนที่จะมาทำประโยชน์ให้แก่บริษัท ถ้านึกถึงแต่ตัวเองจะช่วยขับเคลื่อนบริษัทได้อย่างไร ดังนั้นคุณควรสนใจกับสิ่งที่นายจ้างต้องการ และแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถแก้ปัญหาให้กับเขาได้อย่างไร
  7. ไม่รู้จักการนำเสนอตนเอง
  8.           การ สัมภาษณ์งานเป็นโอกาสที่คุณจะนำเสนอตนเองให้ผู้สัมภาษณ์ได้รับรู้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร มีความคิดความอ่าน ความสามารถในระดับใด อย่ารอให้ถูกถาม หรือปล่อยให้ผู้สัมภาษณ์เดาเอาเองว่าคุณสามารถรับผิดชอบงานต่างๆ ได้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเดาถูก บางทีเขาอาจจะเดาผิดก็ได้
  9. ทักษะและประสบการณ์ไม่ตรงตามความต้องการของบริษัท
  10.           จาก ประวัติย่อของคุณ คุณอาจไม่ได้ทำงานที่ตรงกับตำแหน่งที่คุณสมัครเสียทีเดียว คุณจึงควรเชื่อมโยงทักษะและประสบการณ์ของคุณให้เข้ากับสิ่งที่นายจ้างต้อง การ และทำให้ผู้สัมภาษณ์เห็นอย่างชัดเจนว่าคุณคือคนที่เหมาะสม
  11. พูดถึงอดีตนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงานในแง่ลบ
  12.           แม้ ว่าคุณจะรู้สึกไม่ดีกับอดีตนายจ้าง คุณก็ไม่ควรพูดถึงเขาในแง่ลบ เพราะผู้สัมภาษณ์คงไม่อาจมั่นใจได้ว่า หากเขารับคุณเข้าทำงาน คุณจะไม่เอาเขาไปนินทาให้คนอื่นฟังเหมือนกัน
  13. ยกตัวอย่างสมมติ
  14.           เมื่อ ผู้สัมภาษณ์ถามคุณเกี่ยวกับทักษะ ความสามารถ ความรับผิดชอบ หรือความสำเร็จ การยกตัวอย่างสมมติได้ผลน้อยกว่าการที่คุณสามารถยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง ที่คุณสามารถแก้ปัญหาได้จริงเมื่ออยู่ที่บริษัทเก่า
  15. พูดเรื่องเงินเดือนก่อนที่เรื่องหน้าที่รับผิดชอบ
  16.           ถ้า คุณยังไม่รู้ว่า คุณมีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรบ้าง คุณจะพูดเรื่องเงินเดือนได้อย่างไร เก็บเรื่องเงินเดือนไว้เป็นประเด็นสุดท้ายเมื่อคุณชัดเจนในหน้าที่รับผิดชอบ ของคุณ และเมื่อผู้สัมภาษณ์ตกลงรับคุณเข้าทำงานแล้ว           ลอง สำรวจตัวเองว่าเคยทำผิดพลาดในเรื่องใดใน 8 ข้อข้างต้นบ้างหรือไม่ แล้วหาทางปรับปรุง เพื่อการสัมภาษณ์งานที่สมบูรณ์แบบในครั้งต่อไป
     ที่มา:  http://th.jobsdb.com/TH/TH/Resources/JobSeekerArticle/July08_01.htm?ID=1292

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีเจรจาต่อรองเงินเดือน

คุณแช่มช้อย เลขาฯ มือทองจากบริษัท ก. ต้องการเปลี่ยนงานจึงตัดสินใจไปสมัครงานกับบริษัท ฮ. ด้วยประสบการณ์ทำงานกว่า 5 ปี การสัมภาษณ์งานดำเนินไปด้วยดีจนถึงขั้นตอนการเจรจาต่อรองเงินเดือน ทางบริษัทแจ้งคุณแช่มช้อยว่า จะให้เงินเดือนคุณแช่มช้อย 18,000 บาท ความรู้สึกไม่เห็นด้วยก็บังเกิดขึ้นมาภายในใจของคุณแช่มช้อยทันที เธอคิดว่าเธอควรจะได้เงินเดือนสัก 20,000-25,000 บาท แต่ด้วยความที่คุณแช่มช้อยเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย แช่มช้อยสมชื่อจึงได้แต่ เอ่อ...อ่า... ไม่กล้าพูดออกไป และลงท้ายด้วยคำว่า “ได้ค่ะ”           เป็นอันว่า บริษัท ฮ. ตกลงรับคุณแช่มช้อยเข้าทำงานด้วยเงินเดือน 18,000 บาท ถ้าคุณเป็นคุณแช่มช้อย คุณจะทำอย่างไร???
          ถ้า คุณต้องการเรียกเงินเดือนที่มากขึ้น คุณต้องทำให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่า คุณสมควรที่จะได้รับเงินเดือนตามที่คุณคาดหวัง ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรจะทำ้

  1. รู้ว่าตัวคุณมีค่าแค่ไหน
  2.           การ มีข้อมูลที่ดี จะช่วยให้การเจรจาทำได้ง่ายขึ้น หากคุณรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหนเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในสาขาเดียวกับคุณ โดยคุณอาจจะไถ่ถามจากเพื่อนหรือครอบครัวของคุณที่ทำงานในสาขาเดียวกับคุณ หรือในระดับเดียวกับคุณ เพื่อประเมินว่าระดับเงินเดือนที่คุณควรจะได้รับควรเป็นเท่าไร           เมื่อข้อมูลพร้อมแล้ว คุณอาจพูดต่อรองดังนี้           “จาก ข้อมูลที่ดิฉันได้จาก การสำรวจระดับเงินเดือนของเลขานุการที่มีประสบการณ์การทำงาน 5 ปี อัตราเงินเดือนจะอยู่ที่ 20,000- 25,000 บาท ดิฉันรู้สึกว่าเงินเดือน 18,000 บาทที่คุณเสนอมานั้นค่อนข้างต่ำ ด้วยประสบการณ์และความสำเร็จต่างๆ ของดิฉัน ดิฉันคิดว่า เงินเดือน 23,000 บาทซึ่งอยู่ช่วงตรงกลางน่าจะเหมาะสมมากกว่าค่ะ”
  3. คิดให้มากกว่าเรื่องเงินเดือน
  4.           หาก คิดในทางกลับกัน บริษัทอาจไม่ได้ต้องการเอาเปรียบคุณด้วยการกดเงินเดือนแต่อย่างใด จริงๆ แล้วบริษัทอาจไม่เคยจ้างเลขานุการด้วยเงินเดือน 23,000 บาทเลยก็ได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งปฏิเสธงานเพราะไม่ได้รับเงินเดือนตามที่คาดหวัง ถึงแม้เงินเดือนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การได้งานทำสำคัญยิ่งกว่า           วาง เรื่องเงินเดือนเอาไว้ก่อน แล้วลองเจรจาเรื่องสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ดู เช่น โอกาสในการโยกย้ายสาขา ชุดพนักงานฟรี รถประจำตำแหน่ง วันหยุดพักผ่อนประจำปี โบนัสสิ้นปี สิทธิในการรักษาพยาบาล การทำฟัน การยืดหยุ่นในเรื่องชั่วโมงทำงานหรือวันทำงาน คอมพิวเตอร์ประจำตัว หรือโทรศัพท์ประจำตัว เป็นต้น           มาดูกันว่าคุณควรจะต่อรองอย่างไร           “ดิฉัน เข้าใจดีว่า คุณไม่สามารถให้เงินเดือนดิฉันได้มากกว่านี้ แต่ที่ทำงานเก่าของดิฉัน ให้วันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ดิฉันจะได้รับวันหยุดเพิ่มเป็นพิเศษ”
  5. เพียงคุณกล้าที่จะต่อรอง
  6.           ไม่ ต้องกลัวหรือรู้สึกไม่ดีที่ต้องเจรจาต่อรอง ผู้หางานหลายต่อหลายคนทำลายโอกาสของตนด้วยการไม่ยืนหยัดรักษาสิทธิ์ที่พึงจะ ได้           มีวิธีพูดอยู่ 2 วิธีให้คุณเลือก คุณคิดว่าพูดแบบไหนจึงจะได้ตามที่คุณต้องการ
    • “ฉันมีข้อสงสัย คือถ้าบางที คุณอาจจะพิจารณาค่าชดเชยที่ดิฉันต้องย้ายมาที่นี่ ฉันหมายถึง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันแค่หวังว่าบางทีคุณอาจจะให้เงินพิเศษกับดิฉันสักเล็กน้อย”
    • “การ ที่ดิฉันย้ายจากกาญจนบุรีเข้ากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ทำให้ดิฉันมีค่าใช้จ่ายในการโยกย้ายเกิดขึ้น ไม่ทราบว่าทางบริษัทมีนโยบายช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ”
              แน่ นอนว่าวิธีพูดแบบที่สอง แสดงถึงความมั่นใจที่มากกว่า ทำให้คุณมีภาษีดีกว่าคนที่กล้าๆ กลัวๆ จริงอยู่การเจราต่อรองเงินเดือนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยวิธีการพูดที่ดี จะทำให้คุณได้ในสิ่งที่คาดหวัง หรืออย่างน้อยก็ได้มากกว่าที่คุณไม่ต่อรองอะไรเลย           อย่าง ไรก็ดี ก่อนจะเจรจาต่อรองเงินเดือน ควรสอบถามเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจนก่อน เพื่อให้แน่ใจว่า อัตราเงินเดือนที่คุณต้องการนั้น เหมาะสมกับหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบแล้วจริงๆ  ที่มา : http://th.jobsdb.com

เมื่อต้องเข้าห้องสัมภาษณ์งาน

หลังจากที่เราเตรียมตัว และเตรียมใจสำหรับการสัมภาษณ์งานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรดี เพราะบางคนยังไม่เคยมีประสบการณ์การสัมภาษณ์งานมาก่อน ซึ่งอาการตื่นเต้น กลัว และประหม่านั้น อาจทำให้คุณเสียงานที่กำลังสัมภาษณ์อยู่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำก่อนการสัมภาษณ์งาน คือ เตรียมนึกคำถามที่ผู้สัมภาษณ์น่าจะถาม และคำตอบเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์จริงๆ เราจะได้ไม่ประหม่า แต่ถ้าอาการตื่นเต้น ประหม่าของคุณยังไม่หมดไป แนะนำให้ทำสมาธิ และ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยออก จะช่วยให้อาการประหม่าลดลงได้ในระดับหนึ่ง เพียงแค่นี้คุณก็ไม่คว้าน้ำเหลวในการสัมภาษณ์งานครั้งนี้อย่างแน่นอน
ลักษณะของการสัมภาษณ์งาน แบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

แบบที่หนึ่ง

คือ แบบ “1 ต่อ 1” โดยมีผู้สัมภาษณ์ 1 คน และคุณอีก 1 คน โดยส่วนมากแบบนี้ จะเจอและพบเห็นได้ทั่วไป ความน่ากลัวไม่มากสักเท่าไหร่ คุณสามารถเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ระหว่างการสัมภาษณ์ได้เองบ้างโดยการถามคำ ถามต่อผู้สัมภาษณ์ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณต้องการรู้ และสามารถจับทัศนคติของผู้สัมภาษณ์ได้อีกด้วย แต่ข้อเสียของแบบที่หนึ่งนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน คือ คนที่ตัดสินว่าคุณจะผ่านหรือไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานในครั้งนี้มีเพียงคนเดียว ซึ่งหมายความว่า ถ้าเขาชอบคุณก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ชอบ คุณก็หมดสิทธิ์ทันที

แบบที่สอง

คือ แบบ “2 ต่อ 1” หรือ “3 ต่อ 1” ผู้สัมภาษณ์สองคน หรือสามคนกับคุณคนเดียว ซึ่งแบบนี้จะเป็นแบบที่หลายๆ คนกลัวมาก มักใช้กับการสัมภาษณ์รอบหลังๆ แต่ก็มีหลายบริษัทที่ใช้แบบนี้ในการสัมภาษณ์รอบแรกเหมือนกัน เพื่อเป็นการป้องกันการตัดสินคนๆ หนึ่งจากมุมมองเดียว ซึ่งดูจะไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ ถ้าความคิดเห็นของทั้งสามคนตรงกันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันก็สามารถมานั่งถกกันก่อนการตัดสินใจได้ ดังนั้น จึงไม่อยากให้คุณกลัวกับการสัมภาษณ์แบบนี้ เพราะมันส่งผลดีต่อตัวคุณเองมากกว่าแบบแรกเสียอีก

แบบที่สาม

คือ แบบ “2 ต่อ กลุ่ม” หรือ “3 ต่อ กลุ่ม” คือ ผู้สัมภาษณ์สองคน หรือสามคนกับผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม มักใช้ในการสัมภาษณ์รอบแรก และเป็นตำแหน่งที่รับจำนวนมาก ดูเหมือนการสัมภาษณ์แบบนี้จะทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์อุ่นใจ เพราะมีเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายคน แต่อย่าประมาท เพราะแบบนี้แหละที่คุณต้องแสดงความสามารถทั้งหมดในตัวคุณออกมา สร้างความโดดเด่นให้กับตัวคุณเอง ต่างจากแบบที่หนึ่ง และแบบที่สองคือ คุณแค่แสดงความเป็นตัวคุณเองออกมาแค่นั้น ไม่มีคนเปรียบเทียบ แต่แบบนี้คู่แข่งเพียบ ถ้าคุณไม่สามารถแสดงความสามารถที่โดดเด่นออกมาได้ก็อาจจะหมดหวัง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะคำถามส่วนมากที่ใช้ในการสัมภาษณ์แบบนี้ มักเป็นคำถามที่ไม่ลงลึก เช่น ให้แนะนำตัวเอง บอกจุดเด่น จุดด้อยของตัวเอง ขอแค่คุณเป็นตัวของตัวเอง มั่นใจเข้าไว้ พยายามระงับความประหม่าให้ได้ คิดไว้ว่า ทุกคนในกลุ่มนี้ก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าเรา แล้วคุณจะควบคุมสถานการณ์นี้ไว้ได้
ลักษณะ การสัมภาษณ์งานทั้ง 3 แบบข้างต้นนั้น เป็นการสัมภาษณ์งานที่บริษัทส่วนใหญ่นิยมใช้ แต่ถ้าคุณไปเจอกับลักษณะการสัมภาษณ์แบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก 3 แบบนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะมีบางบริษัทที่คิดรูปแบบการสัมภาษณ์ของตัวเองโดยเฉพาะเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะเจอกับการสัมภาษณ์งานรูปแบบไหน สิ่งที่คุณควรจำไว้คือ ต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเอง เพียงเพื่อให้เหมาะสมกับงานที่กำลังสัมภาษณ์อยู่ เพราะมันไม่คุ้มและไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝืนทำงานที่ไม่ใช่ หรือไม่เหมาะสมกับคุณเอง
ที่มา: http://th.jobsdb.com/

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

เตรียมทำการบ้านก่อนไปสัมภาษณ์งานหรือยัง

ในการสัมภาษณ์งานแต่ ละครั้ง ลองถามตัวคุณเองว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับบริษัทที่คุณจะไปสัมภาษณ์มาก-น้อย แค่ไหน คุณคงทำให้ใครเชื่อไม่ได้ว่าคุณอยากจะร่วมงานด้วย ถ้าคุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของบริษัทนั้นเลย ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่คุณจะไปสักนิด แล้วคุณจะรู้ว่าการบ้านที่คุณได้ทำไปนั้น มันทำให้คุณมีคุณค่าในสายตาของผู้สัมภาษณ์อย่างมากมาย
  1. บริษัทมี services หรือ product อะไรบ้าง
  2. Niche market ของบริษัทอยู่ตรงไหน
  3. ใครเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่
  4. ประวัติความเป็นมา
  5. ใครเป็นผู้บริหารสูงสุดขณะนี้
  6. วัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างไรบ้าง
  7. บริษัทมีพนักงานประมาณกี่คน สัดส่วนคนไทย/ต่างชาติเท่าไหร่
  8. ผลประกอบการเป็นอย่างไร
  9.  บริษัทมีสำนักงานใหญ่ สาขาที่ใดบ้าง
ที่มา : http://th.jobsdb.com

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ตัวอย่างบทสนทนาสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ

การทักทาย (Greeting) ส่วนนี้เป็น part แรกในการสนทนา.
Q : Good morning / afternoon
A : Good morning / afternoon – sir / mam.
Q : How are you today?
How are you doing? ** ทั้งหมดความหมายเดียวกัน ว่า สบายดีไหม**
How do you do?

A : I’m fine / I’m good ..thanks and you?
Q : ก็แล้วแต่เค้าจะตอบ

การสัมภาษณ์ ( interview ) ส่วนนี้เป็นการเข้าเรื่องการสัมภาษณ์งาน
Q : Would you like to tell me about yourself? อยากให้เล่าเกี่ยวกับตัวเอง
A : I was born in …
I graduated from …. In …ปีที่จบ
Major ….
When I was student. I have experienced sum part time jobs as …. (ถ้ามี / ถ้าไม่มีข้ามไป)
On my free time. I like to surf net and ….(งานอดิเรก) เช่น reading, movies, แต่ควรจะเป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกะงานเอาไว้จะดีกว่า ....

Q : Would you like to tell me about your wok experiences? เล่าการทำงาน
A : After graduated in 2000 (สมมติ) I have got a first job at ….ชื่อบ.
Worked as … ตำแหน่งงาน
My responsibility are …. ทำอะไรบ้าง ....
Second job ….งานที่ 2 …
** ให้เล่าอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบตามประสบการณ์ของเรา **
คำถามเพิ่มเติม จากการเล่าประสบการณ์ของเรา Following questions
Q : Do you have a computer skill ? ทักษะคอม
Can you speak other language? พูดภาษาอื่นได้อีกไหม
Can you use internet? ใช้อินเตอร์เน็ต
Can you use office material? เครื่องใช้สำนักงานเป็นไหม
- Yes I can .
Do you stay alone in Bangkok? อยู่กรุงเทพคนเดียวเหรอ
- Yes / No, with friends,relatives
Do you have sister or brother? อันนี้โดนเองเลย .. ไม่รู้จะถามทำไม
- Yes,1 sister / No am the only one child.
** คำถามมีอีกมากมาย แต่เท่าที่พบด้วยตัวเองก็จะประมาณนี้ **
          หลังจากนั้นผู้สัมภาษณ์จะเล่าเกี่ยวกับบริษัทของเขา เช่น ลักษณะธุรกิจ เปิดมากี่ปีแล้ว บริษัทแม่อยู่ที่ไหน วัตถุประสงค์ อื่นๆ แล้วก็จะวกเข้ามาที่ตำแหน่งที่เราสมัครว่า ทำไมเขาจึงมีความต้องการรับคนเข้าทำงานในตำแหน่งนี้ ซึ่งคุณนายไม่สามารถเขียนบรรยายได้เพราะมันมากมาย ... เอาเป็นว่าเขาจะถามเราแล้วหล่ะว่า
Q : Do you have any questions?
Any questions?
About our business, do you have a questions?
ซึ่งถ้าเราไม่แน่จัย ก็ให้บอกว่า
A : No, I will have more question after I’ll see you again. ยังไม่มีตอนนี้ เอาไว้ร่วมงานกันแล้วมีแน่ๆ ประมาณนั้น
หรือถ้าเราเกิดสงสัยต่างๆ ก็ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวงาน เพื่อให้เขารู้สึกว่า เราสนจัย
A : How many staffs are working in this section? มีพนักงานทำงานตำแหน่งนี้กี่คน

** ถ้าเราไม่มีคำถามแล้ว เขาอาจจะปิดการสัมภาษณ์ **
Q : Well,we will need to talk together then will give you feedback later.
We will call you later.
We will get back to you as soon as possible.
** อีกมากมาย **
A : Yes .. Thank you very much I will look forward to hear from you ขอบคุณ ฉันจะรอ .. ในที่นี่หมายถึง โทรศัพท์
Q : Sure .. thanks for coming แน่นอน .... ขอบคุณที่แวะมา
A : Thanks for your time and opportunity ขอบคุณที่ให้โอกาศและเสียสละเวลามาสัมภาษณ์

Q : Have a nice day … Goodbye / Goodluck
A : Thanks , same to you .. ถ้าเราไม่อยากพูดยาว หรือไม่ก็พูดเหมือนเขานั่นแหละ

          เอาหล่ะ .. คงจะได้ไอเดียกันบ้าง คุณนายไม่ได้ลอกที่ไหนมานะพยายามเขียนออกจากประสบการณ์( ที่นานมาแล้ว ) มาแบ่งปันกันเผื่อว่าจะได้เป็นแนวทางให้เพื่อนๆได้ลองศึกษาดูและนำไปใช้ใน แบบที่ตัวเองถนัด.. สำหรับการตั้งคำถามของผู้สัมภาษณ์ เท่าที่สัมผัสมา มันไม่น่าจะเกินนี้ ยิ่งถ้าเป็นคนไทยสัมภาษณ์หล่ะก็ จะเป็นอย่างนี้เลยแต่ถ้าเป็นฝรั่งก็อาจจะมีนอกเหนือแต่ก็ไม่ออกนอกโลกไปมาก มาย ถ้าเราไม่เข้าจัยในคำถามหรือฟังไม่ทัน เราสามารถบอกเขาได้เลยว่า
- Pardon me / excuse me can u repeat it again? ขอโทษนะ พูดอีกทีได้ไหม
- Sorry, I can’t catch it, can you speak slowly? ขอโทษนะฟังไม่ทัน พูดช้าๆหน่อยได้ไหม
- Sorry , think my Eng is not so good, can you speak again please? ขอโทษนะภาษาไม่ค่อยดีพูดอีกทีได้ไหม
          เขาไม่ตัดสินเราเพราะว่าเราให้พูดซ้ำอีกทีหรอกนะ แต่อย่าทำบ่อยไม่ดีๆ
ข้อมูลจาก  :  คุณนาย kah   www.jobbkk.com

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อัตราเงินเดือนพนักงานใหม่โดยเฉลี่ยแต่ละสาขาสำรวจในปี2000 (บาท)


ระดับปริญญาตรี
สาขา-ช่วงโปร-หลังเข้าทำงาน <--> ช่วงโปร(จบนอก)-หลังเข้าทำงาน(จบนอก)
บัญชี -10169-10468 <-->10970-11665
วิทยาศาสตร์ -11858-12191 <-->11521-12478
วิศวกร -13759-14111 <-->13619-14469
เภสัชกร -10847-11169 <-->10057-12273
คอมพิวเตอร์ -11631-11962 <-->12352-13202
การตลาด - 9825-10116 <-->10667-11582
สถาปนิก - 9839-10300 <-->10057-12273
สังคมศาสตร์ - 9151-9369 <--> 9852-10647
ประกันภัย - 9964-10174 <--> 9223-9607
ปริญญาโท
MBA = 16223 ; 16718 ; 17781 ; 18002
วิศวกร = 18567 ; 19365 ; 19306 ; 19852
วิทยาศาสตร์ = 16897 ; 17705 ; 17298 ; 17808
คอมพิวเตอร์ = 17533 ; 18260 ; 18082 ; 18507
จาก : GM Magazine (Aug2001) - 22/01/2002 02:22 
เนื่องจากข้อมูลข้างต้น เป็นข้อมูล ณ ปี 2001 แต่อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวก็สามารถใช้อัางอิงได้โดยนำไปคิดเป็นค่าเฉลี่ยเพื่ออ้างอิงในการสมัครงาน

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คุณรู้หรือไม่ ผู้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ต้องการอะไร?

หลังจากการส่งจดหมายสมัครงานรวมทั้งประวัติต่างๆแล้ว และท่านคือหนึ่งในผู้ถูกเลือกให้ได้เข้ารับการสอบสัมภาษณ์ พร้อมกับผู้ถูกเลือกอีกจำนวนหนึ่ง ในสถานะของท่านถือได้ว่าท่านประสบผลสำเร็จไปแล้วมากกว่า 50% ของขั้นตอนการสมัครงาน

ดังนั้นจุดนี้เองท่านต้องหาทางทำทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งการยอมรับ และตัดสินใจของคณะกรรมการให้เลือกท่านเพื่อเป็นพนักงานของบริษัท แต่ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าคณะกรรมการทุกท่านต้องการ หรือมีจุดประสงค์อย่างไร ที่จะเลือกคนเข้าทำงานกับบริษัทของเขาทั้งหลาย

โดยทั่วไปผู้ผ่านการสอบข้อเขียน หรือผ่านการคัดเลือกก่อนการสัมภาษณ์มาแล้ว จะมีคุณสมบัติพื้นฐานใกล้เคียงกัน ซึ่งวัดจากการพิจารณาการสอบข้อเขียน หรือประวัติการศึกษาหรือการทำงาน แต่คุณสมบัติเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนประกอบในการคัดเลือกบุคคล ไม่ใช่ส่วนสำคัญในการตัดสินว่าคนคนนั้น เหมาะกับงานแต่อย่างใด ดังนั้นการสัมภาษณ์จึงเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจว่า คนไหนเหมาะสมกับองค์กรณ์มากที่สุด ดังนั้นหากใครที่สามารถเตรียมตัวและทำได้ดีในขั้นตอนนี้ มักประสพผลสำเร็จเกือบทุกราย
โดยมาตราฐานของบริษัททั่วไป(ที่ไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง)การสอบสัมภาษณ์ จะกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลากรเพื่อเข้าทำงานดังนี้

1) ความรู้ความสามารถเรื่องงานของบุคคลนั้นๆ
2) ไหวพริบและการแก้ปัญหา
3) ทัศนะคติและบุคลิคภาพ
4) ความสามารถพิเศษ(ซึ่งแตกต่างจากผู้อื่น)ที่เอื้อประโยชนต่อองค์กร

ความรู้ความสามารถเรื่องงานของบุคคลนั้นๆ
สำหรับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษามาใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ ให้ท่านเตรียมรายละเอียดเรื่องการทำโปรเจคท์ หรือกิจกรรมก่อนจบการศึกษาในระดับนั้นๆ ว่าท่านทำโครงการอะไร ท่านมีส่วนร่วมในขั้นตอนใด อย่างไร และโครงการมีผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร พร้อมด้วยเหตุผลประกอบ

สำหรับผู้ที่ผ่านการทำงานมาแล้วให้ท่านเตรียมความ อธิบายรายละเอียดเรื่องงานที่ท่านรับผิดชอบ ที่คิดว่าสำคัญที่สุด (สร้างมูลค่าหรือประโยชน์ให้บริษัท) ว่าท่านรับผิดชอบในโครงการนั้นๆอย่างไร ผลที่ได้เป็นอย่างไร อาจอธิบายถึงการหลักการ P-D-C-A โครงการ (ทำให้ดูเหมือนเป็นนักวางแผน)

ไหวพริบและการแก้ปัญหา
ประเด็นไหวพริบนี้ค่อนข้างยากสำหรับคนบางคนและบางตำแหน่ง แต่ก็ง่ายสำหรับคนบางคนบางตำแหน่งเพราะไหวพริบของคนเราไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบุคลิกของแต่ละคน แต่สามารถฝึกได้ โดยการหาความรู้จากการอ่านหนังสือ บทความดูทีวี พูดคุยกับผู้ที่มีความรู้ ความเห็นที่แตกต่าง จับประเด็นของเนื้อหา ฝึกเป็นคนช่างสังเกตุและหาข้อมูล หากทำได้ระดับนี้ ท่านจะกลายเป็นคนที่มีไหวพริบดีไปเองอย่างอัติโนมัติ

ในเรื่องการแก้ปัญหาการทำงาน ท่านต้องลองฝึกสร้างสมมุติฐานสถานะการณ์ของงานที่ท่านเคยทำว่า หากเกิดปัญหาในงานนั้นๆแล้วท่านจะแก้ไขอย่างไร(ลองคิดเป็นลำดับ 1,2,3,4)  อาจลองนำประเด็นที่สมมุติไปสนทนากับผู้รู้ เพื่อนร่วมงาน ระดมสมอง เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถตอบคำถาม ของผู้สัมภาษณ์ทั้งหมดหรือบางส่วนได้

ทัศนะคติและบุคลิคภาพ
ทัศนะคติจะเป็นคำถามที่ ท่านต้องอธิบายว่า ท่านคิดอย่างไรต่อเรื่องราวนั้นๆแต่โดยส่วนมากผู้สัมภาษณ์ อยากได้คำตอบเชิงสร้างสรรค์หรือเชิงบวก ดังนั้นท่านต้องฝึกหรือปรับวิธิการคิดและการอธิบาย ให้เป็นการมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยก็น่าจะดีกับองค์กรของเขา

บุคคลิกภาพท่านต้องสำรวจตัวเองว่าบุคลิกในปัจจุบันนี้ เหมาะกับตำแหน่งที่ท่านสมัครหรือไม่ เช่น ท่านสมัครตำแหน่ง Engineer บุคลิกของท่านต้องมีความมั่นใจในตัวเอง มีเหตุผล พูดจาชัดเจน รอบรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียนมา หรือเกี่ยวข้อง แต่งกายเหมาะสม หากท่านสมัครตำแหน่งผู้จัดการบุคลิกท่านต้องมีความเป็นผู้นำ มีความมั่นใจ มีเหตุผล พูดจาชัดเจน ชอบวางแผน และการจัดการ รู้กว้าง แต่งกายเหมาะสมกับตำแหน่ง

ความสามารถพิเศษ(ซึ่งแตกต่างจากผู้อื่น)ที่เอื้อประโยชนต่อองค์กร
ข้อนี้สำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนของการสัมภาษณ์งานและถือไดว่าเป็นประเด็นที่ผู้สัมภาษณ์ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ กรณีที่ผู้สอบสัมภาษณ์มีคุณสมบัติ 3 ประเด็นเหมือนกัน การเห็นคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจึงเป็นตัวช่วยเสริมการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี

ที่นี้มาดูว่าความสามารถพิเศษที่เค้าต้องการกันมันมีอะไรบ้าง
- ความสามารถทางด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน จีน หรืออื่นๆ แต่ที่แนะนำให้เตรียมตัวคือ ภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นภาษาสากล เพราะสุดท้ายแล้วหากการสื่อสารโดยภาษาอื่นๆเกิดปัญหา ก็จะมาจบกันที่ ภาษาอังกฤษนี่เอง ยิ่งท่านสมัครงานในตำแหน่งตั้งแต่ วิศวกรขึ้นไป วิธีง่ายๆในการเตรียมตัวคือ เรียนการสนทนาระยะสั้นแบบเร่งรัด ฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษ ดูทีวีช่องต่างประเทศหรือช่องภาคถาษาอังกฤษ ฝึกพูดสนทนาด้วยตัวเอง และท่านอาจต้องฝึกการแนะนำตนเองเป็นภาษาอังกฤษให้ดูเป็นธรรมชาติ(เหมือนการสนทนาแบบปกติ)

- ความสามารถทางด้านกิจกรรม กีฬาหรือคนตรี จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากกิจกรรม กีฬาหรือดนตรีที่ท่านชอบตรงกับกิจกรรมที่บริษัทส่งเสริมอยู่ ดังนั้นท่านควรสำรวจดูว่า บริษัทที่ท่านสมัครส่งเสริมกิจกรรมอะไรอยู่ ท่านก็ควรเตรียมบทสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมนั้นๆไว้

อย่างไรก็ตามทุกประเด็นที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ จะไม่มีความหมายสำหรับท่าน หากท่านไม่มีการเตรียมตัวที่ดีกับประเด็นต่างๆ ท่านต้องฝึกฝนทั้งทักษะการพูด การฟัง ภาษา หรือแม้กระทั่งการเจรจาต่อรองในกรณีที่จำเป็นเกี่ยวกับรายได้

ทั้งหมดเหล่านี้หากท่านทำได้รับประกันได้กว่า 90% ท่านถูกเลือกเป็นผู้ร่วมงานของบริษัทเหล่านั้นแน่นอน
ขอให้โชคดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คุณรู้มั๊ยว่าวัฒนธรรมการทำงาน(กับการหางาน)ของคนไทยกับต่างประเทศแตกต่างกันอย่างไร?

ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าในเมืองไทยเรานั้น การหางาน การสมัครงาน และการสัมภาษณ์งาน เป็นรื่องปกติเพราะ วัฒนธรรมการทำงานของคนไทยโดยส่วนใหญ่ พิจารณา จากรายได้เป็นหลัก(บางท่านอาจไม่ได้คิดแบบนี้แต่ชนชั้นกลางถึงล่างส่วนใหญ่เป็นแบบนี้) พอทำงานไปซักพักรู้สึกเบื่อไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากปัญหาส่วนตัว หรือปัญหางาน ก็จะเริ่มมองหางานใหม่ ต้องการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ พร้อมด้วยรายได้ที่สูงขึ้นจากเดิม โดยบางครั้งอาจไม่ได้คิดเลยว่าความสามารถของตัวเองอยู่ในระดับไหน บางครั้งเห็นเพื่อนได้มากเท่านั้นเท่านี้ก็จะเอาเท่ากัน ทั้งๆที่แต่ละคนนั้นมีความสามารถไม่เท่ากัน แล้ววัฏจักร การหางานของคนไทยก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

เราจะสังเกตได้จาก กลุ่มธุรกิจ นายหน้าจัดหางาน Head Hunting Recruitment ในไทยเติบโตเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นแล้ว แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะ อัตราการเปลี่ยนงานของเขาต่ำมากเนื่องด่้วยวัฒนธรรมและและสังคมที่นั่น ไม่ค่อยจะยอมรับกับการเปลี่ยนงานเพราะคนญี่ปุ่นเวลาเข้าทำงาน บริษัทจะรับเข้าตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย แล้วอยู่ไปยันเกษียณ หากย้ายงานคนนั้นจะถูกสังคมตราหน้าว่า เป็นคนไม่ซื่อสัตย์กับองค์กรหรืออาจเป็นบุคคลที่มีปัญหากับองค์กร และในส่วนการเข้าทำงานกับบริษัทใหม่นั้น โดยปกติอัตราเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะน้อยกว่าที่เดิมที่ลาออกมา ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณเหมือนเพิ่งมาเริ่มงานใหม่(เหมือนเด็กจบใหม่) เพราะที่ญี่ปุ่นเป็นเมืองอุตสาหกรรมมายาวนานมาก บางบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมเฉพาะก่อตั้งตั้งแต่สมัยสงครามโลก ดังนั้นคนบางคนที่อยู่ก่อนแล้วย่อมมีประสบการณ์กับงานนั้นๆเป็นอย่างดี ซึ่งบริษัทจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนที่ถึงแม้จะมีประสบการณ์มากๆมาจากที่อื่น ถึงแม้จะอายุงานยาวนานเท่ากัน ย่อมด้อยกว่าในเรื่องของประสบการณ์ตรง จึงเป็นที่มาของรายได้ที่ต้องต่ำลงหรือเสมือนกับคนเพิ่งเข้าทำงาน นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงทำให้คนญี่ปุ่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่เปลี่ยนงานเป็นอันขาด ทั้งยังส่งผลให้ธุรกิจ การสรรหางาน Head Hunting หรือ Recruitment ไม่แพร่หลายเหมือนอย่างประเทศไทย

ในส่วนวัฒนธรรมการทำงานของ แถบประเทศยุโรปและอเมริกา ก็จะคล้ายกับของประเทศไทย แต่แตกต่างกันตรงความสามารถเฉพาะตัวและความเป็นผู้นำของคนแถบนั้นจะสูงมาก จึงเป็นที่มาของรายได้ที่สูงเมื่อคนเหล่านั้นเปลี่ยนงานไปบริษัทใหม่ แต่ก็ยังมีข้อแม้ว่าคุณต้องแสดงผลงานของคุณให้ชัดเจนสมกับรายได้นะ ไม่เช่นนั้นเค้าก็จะสามารถเชิญคุณออกได้ทันทีเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการสมัครงาน การเปลี่ยนงาน หรือแม้กระทั่งการทำงานของไทยเรานั้นจะเป็นแบบผสมผสานระหว่างเอเชีย(ญี่ปุ่น) กับ อเมริกาและยุโรป ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับบ้านเราดี ทั้งนี้ แต่ละท่านก็ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงานและตัวบริษัทที่ท่านไปสมัครกันเองนะครับ
ขอให้โชคดีกันทุกท่าน

สมัครงานอย่างไร หากคุณสมบัติสูงเกินไป

สมัครงานผู้หางานที่มีดีกรีสูง ประสบการณ์ยาวเป็นหางว่าวอาจคิดไม่ถึงว่าจะประสบปัญหาการหางาน ไม่ต่างจากนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ แต่ปัญหาของคนสองกลุ่มนี้มีสิ่งที่สลับขั้วกันอยู่นั่นคือ นักศึกษาจบใหม่นั้น คุณสมบัติยังต่ำกว่ามาตรฐานที่นายจ้างต้องการ ในทางกลับกัน ผู้หางานบางคนกับมีคุณสมบัติที่สูงกว่ามาตรฐานที่นายจ้างต้องการ จึงเป็นสาเหตุให้หางานทำไม่ได้เสียที
มาดูกันว่าเหตุใดนายจ้างจึงไม่สนใจคนที่มีคุณสมบัติสูงมาร่วมงาน ทั้งที่บริษัทควรจะดีใจที่มีคนเก่ง ๆ มีความสามารถสูงสมัครงานเข้ามา
เรื่องเงินเรื่องใหญ่
ผู้หางานบางคนอาจยอมลดเงินเดือนตัวเอง เพื่อให้ได้งานในภาวะเศรษฐกิจขาลง แต่นายจ้างกลัวว่า ผู้หางานเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะลาออก เมื่อพวกเขาได้งานใหม่ที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า ในเมื่อพวกเขามีความสามารถสูง พวกเขาย่อมต้องการค่าตอบแทน และตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับความสามารถของพวกเขาเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต
เรื่องของความเหมาะสม
ผู้หางานมักคิดว่า เมื่อนายจ้างกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการไว้แล้ว และพวกเขาพบว่า ตนเองมีคุณสมบัติเหนือกว่าในทุก ๆ ด้าน ย่อมมีโอกาสที่ได้จะรับการคัดเลือกมากกว่าคนอื่น ๆ อย่างไรก็ดีในเกณฑ์ของนายจ้าง มีคำถามที่นายจ้างใช้ถามตัวเองเวลาคัดเลือกพนักงาน ซึ่งก็คือ “ความต้องการ ความสนใจ และคุณค่าในตัวผู้สมัครคนนี้ เหมาะกับงานในตำแหน่งนี้หรือไม่” “เขาเหมาะกับโครงสร้างและวัฒนธรรมขององค์กรหรือไม่”
แม้ว่าผู้สมัครจะมีความสามารถ และทักษะดีเยี่ยมที่จะทำงานในตำแหน่งดังกล่าวได้ แต่นายจ้างอาจพิจารณาจากความเหมาะสมดังกล่าวข้างต้น จึงตัดสินใจไม่รับพวกเขาเข้าทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเปลี่ยนงานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เมื่อทราบถึงข้อกังวลของนายจ้างเช่นนี้แล้ว ผู้หางานจะต้องทำอย่างไร
สร้างความมั่นใจให้นายจ้าง
เมื่อคุณได้มีโอกาสสัมภาษณ์งาน คุณควรสร้างความมั่นใจให้นายจ้างว่า ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติสูงนั้นสามารถเป็นมือขวาให้กับนายจ้าง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้การดำเนินงานขององค์กรเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การปฎิเสธผู้สมัครที่มีความสามารถ เป็นการปิดกั้นโอกาสที่องค์กรจะได้พนักงานที่ฝืมือดีเข้ามาร่วมงาน รวมถึงปิดกั้นโอกาสที่องค์กรจะเติบโตก้าวหน้าด้วย
จัดการกับประวัติการทำงานของคุณ การสร้างประวัติการทำงานแต่ละฉบับนั้นต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติที่นายจ้าง แต่ละแห่งต้องการมากที่สุด ซึ่งจะทำให้นายจ้างทุกคนสนใจในตัวคุณ โดยคุณอาจต้องปรับข้อมูลในประเด็นต่อไปนี้
  • เปลี่ยนเป้าหมาย โดยอาจลดตำแหน่งจาก “ผู้จัดการ” เป็น “หัวหน้าทีม” ให้สอดคล้องกับคุณสมบัติที่นายจ้างต้องการ
  • แสดง ประวัติการทำงานให้สั้นกระชับ อาจแสดงเพียงงานที่ทำล่าสุด โดยไม่ระบุปี หากคุณเห็นว่า การระบุปีนั้นทำให้คุณดูมีประสบการณ์ที่ยาวนานเกินไป
  • เปลี่ยน ชื่อตำแหน่งหากฟังดูสูงส่งเกินไป เช่น เรียกตัวเองเป็นผู้จัดการ แทนที่จะเรียกว่ารองประธานในบริษัทที่มีพนักงานเพียงไม่ถีง 10 คน
  • ไม่ระบุคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น ประวัติการฝึกอบรม และทักษะความรู้ชั้นสูงที่คุณมีเพิ่มเติม
หากผู้หางานมีความตั้งใจจริงที่จะทำงานอย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ ไม่ว่าตำแหน่งงานจะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่สำคัญ เพราะความสามารถและการพิสูจน์ตัวเองจะทำให้ผู้หางาน เติบโตก้าวหน้าในอาชีพได้ แม้จะเริ่มต้นจากตำแหน่งเล็ก ๆ ก็ตาม
ที่มา:  http://th.jobsdb.com/TH/EN/Resources/JobSeekerArticle/js-june10-3.htm?ID=1832

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เขียน Resume กรณีมีประสบการณ์

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เป็นอย่างไรบ้างครับ หลังจากติดตามคอลัมน์ของเราหลายตอนแล้ว ท่านได้รับความรู้อะไรเพิ่มเติมบ้างครับ เมื่อเข้าชม Website ของเราแล้วก็อย่าลืมติชมมาบ้างนะครับ


  • เอาละครับในตอนนี้ผมจะขอยกตัวอย่าง รูปแบบของประวัติย่อ (Resume) ในแบบที่ 1 มาให้ดูเป็นตัวอย่างเลยนะครับ แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอบอกเสียก่อนนะครับว่า ตัวอย่างประวัติย่อในแบบที่ 1 นั้น โดยมากใช้ในกรณีที่ผู้สมัครมีประสบการณ์มาก่อน และรู้ตำแหน่งแน่นอนว่า ตนสมัครในตำแหน่งใด ดังนี้
    ตัวอย่างประวัติย่อที่ 1

    รูปถ่ายของคุณ
    THANAPOL CHADCHAIDEE
    50/100 Ramkhamhaeng Road
    Bangkapi, Bangkok 10240
    Telephone : 3735135

    Position sought : Accountant
    Education : 1985-1989 Thammasat University, Bachelor Degree (Accounting), Relevant
    Courses : Financial Accounting, Accounting for Planning and Control, Financial Statement Analysis, Auditing, Business Tax Law, Introduction to Computers.
    Experience : 1989 Assistant Auditor, Chaiyong Kehakit Co., Ltd. Present Kaelai, Nonthaburi Province.
    Special Qualifications : Good command of spoken and written English

    Personal : Age - 26


    Marital Status - Single


    Activities - Swimming, Sewing and Knitting.

    References : Asst. Prof. Thirawit Boonmak, Dean of the Faculty of Commerce and Accountancy,Thammasat University. Mr Chaiyong Plaimee, Managing Director, Chaiyong Kehakit Co.,Ltd. Kaelai, Nonthaburi Province. Tel.5802808.

  • อนึ่งคำว่า Position sought นั้นอาจจะใช้คำว่า Position applied for : ก็ได้ ครับแล้วผมก็ขอจบตอนที่ 16 เพียงเท่านี้ก่อนครับ คอยพบกันตอนต่อไป นะครับสวัสดีครับ 

  • ที่มา : http://www.nationejobs.com/content/tiptools/jobtips/template.php?conno=62

  • ประวัติย่อสำหรับเด็กจบใหม่

    ในการสมัครงาน ตำแหน่งเดียวกัน องค์กรเดียวกัน ของคนแต่ละคนไม่ได้หมายความว่า จะต้องใช้รูปแบบ การเขียนประวัติย่อ ในการสมัครงาน ของคนทุกคนจะเหมือนกัน แต่จำเป็นต้องเขียนใบสมัคร ให้เหมาะกับสถานะ ของตัวเอง

    พูดง่ายๆ ก็คือ คนมีประสบการณ์ ต้องเขียนใบสมัคร ของคนมีประสบการณ์ ส่วนเด็กจบใหม่ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ทำงานมาก่อน ก็ต้องใช้อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เหมาะสมกว่า สำหรับในตอนที่แล้ว ผมได้ยกตัวอย่างประวัติย่อในแบบที่ 1 ซึ่งเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประสบการณ์ไปแล้ว มาคราวนี้เรามาดูประวัติย่อในแบบที่ 2 กันเลยครับ ตัวอย่างประวัติย่อที่ 2
    RESUME THANAPOL CHADCHAIDEE
    50/22 Sukhaphiban 3 Road
    Bangkok 10240
    Telephone 3735135

    CAREER OBJECTIVE : To design and implement programmed in broadcast journalism and to use my skills in communications to develop innovative television and radio dialogue.
    EXPERIENCE :
    COMMUNICATIONS- Helped edit university's magazine for one year.
    LEADERSHIP- Coordinated a fund-raising drive for an audio-visual club.
    BROADCAST JOURNALISM- Designed an educational programmed for children. Received award from the University Council.
    EDUCATION : Bachelor of Arts, 19 ........... University
    Major : Mass Communications
    Minor : Audio Visual
    PERSONAL
    INFORMATION : Birth date : 26 December 1956.
    Marital Status : Single
    Health : Excellent
    Interest : Reading, Stamp-collecting
    OTHER
    QUALIFICATIONS : Ability to type both Thai and English at 50 wpm. and 60 wpm. respectively.
    REFERENCES : Full references will be supplied on request.
    อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวอย่างประวัติย่อในแบบที่ 2 นี้ โดยมากใช้กับ ผู้ที่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ และส่งจดหมายสมัครงาน ไปยังหน่วยงาน ที่ไม่ได้ประกาศรับ และตัวผู้สมัครเอง ก็ยังไม่ทราบว่า มีตำแหน่งงานใดว่างบ้าง เพียงแต่ระบุสายงาน ที่ตนต้องการทำไว้กว้างๆ เท่านั้น
    ครับ และผมก็ขอเรียนให้ทราบว่า ในตอนต่อไปนั้น เราจะเข้าเรื่องใหม่แล้วนะครับ นั่นก็คือ "เรื่องการสอบสัมภาษณ์งาน พร้อมทั้งเทคนิคต่างๆ" ขอให้ท่านผู้ที่เข้าชม Website ของเรา ติดตามกันต่อไปนะครับ สวัสดีครับ
    ที่มา:http://www.nationejobs.com/content/tiptools/jobtips/template.php?conno=64

    Application Letter

    ตอนที่แล้วผมได้พูดถึงเรื่องการอ่านโฆษณางานให้เข้าใจ และเมื่อทราบแนวทาง ในการสมัครงานแล้ว ว่าเป็นแบบ Apply in person (สมัครด้วยตนเอง) หรือ Interested persons please send application letter (ผู้สนใจโปรดส่งจดหมายสมัครงาน) ในกรณีที่สมัครงาน โดยวิธีส่งจดหมายสมัครงานนั้น ก่อนอื่นผู้สมัครงาน จะต้องทราบเสียก่อนว่า ก่อนเขียนจดหมายสมัครงาน ตนเองควรทำอะไรก่อน ซึ่งก็พอสรุปออกมาได้ดังนี้


  • ร่างข้อความที่จะเขียนขึ้นมาคร่าวๆ ก่อน เพื่อว่าเมื่อเขียนออกมาแล้ว จดหมายของเราจะดูเด่นกว่าของผู้อื่น

  • ใส่เฉพาะข้อมูลที่นึกได้ว่าตนเองมีคุณสมบัติเหล่านั้น

  • ตรวจดูว่าได้รวมข้อมูลที่สำคัญไว้ครบ หรือไม่และควรตัดข้อความที่ไม่สำคัญออก

  • ตรวจดูว่าเราได้ใส่ข้อมูลครบถ้วนตรงตามที่ประกาศโฆษณานั้นหรือไม่

  • เขียนหรือพิมพ์ให้ดูสะอาด เรียบร้อย การเว้นช่วงระยะต่างๆ ควรเป็นแบบมาตรฐานสากล

  • ควรเก็บฉบับสำเนาไว้ดู เพื่อว่าเมื่อถูกเรียกเข้ารับการสอบสัมภาษณ์ จะได้รู้ว่าตนเองเขียนไว้อย่างไร ในจดหมายสมัครงานนั้น จะได้เตรียมคำตอบได้ถูกต้องในเวลาถูกสัมภาษณ์

  • ควรตรวจสอบดูให้แน่ใจว่า จ่าหน้าซองถูกต้องและเรียบร้อยดีหรือไม่ก่อนส่งไปยังผู้รับ


  • และต่อมาก็ถึงคำถามที่ว่า ควรจะเขียนจดหมายสมัครงาน เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษดี ข้อนี้ต้องดูเขาโฆษณาไว้อย่างไร ถ้าระบุว่า Please send your application letter in English อันนี้ก็ชัดเจน ถ้าไม่ระบุว่าให้เขียนเป็นภาษาอะไร เราก็ต้องตรวจดูว่าเขาลงโฆษณาเป็นภาษาอะไร ก็ให้เขียนเป็นภาษานั้นตามที่เขาโฆษณา
    แต่ถึงกระนั้นก็ตามทีเถอะ ถ้าหากเขาระบุคุณสมบัติไว้ว่า ผู้สมัครงานต้องรู้ภาษาอังกฤษดี (good command of English) แล้วละก็ ผมขอแนะนำว่า เขียนจดหมายสมัครงาน เป็นภาษาอังกฤษจะมีภาษีดีกว่ามากครับ
    ผมขอจบไว้แค่นี้ก่อนครับ ตอนหน้าคอยพบกับทีเด็ด ว่าด้วย กฎ 24 ข้อในการเขียนจดหมายสมัครงาน
    ที่มา:http://www.nationejobs.com/content/tiptools/jobtips/template.php?conno=72 

    Electronic Resumes

    Resume อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ Resume ที่สามารถส่งทางอี-เมล์หรืออินเทอร์เน็ตได้ ความได้เปรียบของการใช้ Resume อิเล็กทรอนิกส์ ก็คือ คุณสามารถสมัครงานผ่านทางอี-เมล์หรือเวบไซต์ที่โพสอยู่ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องใช้แฟกซ์ หรือจดหมายให้ยุ่งยาก

    ถ้า Resume ของคุณอยู่ในคอมพิวเตอร์ หรือแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ นั่นก็คือ คุณสามารถใช้ในรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าวิธีนี้ จะได้ประโยชน์มากที่สุด ถึงแม้ว่าระบบอี-เมล์ส่วนใหญ่ จะสามารถรับส่งไฟล์ attachment ได้ทั้งในรูปของ Word, Word Perfect, Quark หรือไฟล์อื่น ก็ตาม เพราะใคร หรือองค์กรใด ที่คุณต้องการส่งเอกสารดังกล่าว ไปให้นั้น อาจไม่ได้รับก็ได้ Plain text (หรือเรียกอีกอย่างว่า ASCII Text หรือ MS-DOS Text ที่ลงท้าย ด้วยอักษรสามตัว คือ .txt) อย่างไรก็ตามรูปแบบนี้ ก็สามารถเข้าถึงได้ทั่วทุกแห่ง และเป็นที่ต้องการ ในหลายกรณี
    การทำให้ Electronic Resumes สามารถเข้าถึงได้ทั่วทุกหนแห่งนั้น คุณควรทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ใช้ word processing application ที่เป็นมาตรฐาน จากนั้นก็เขียนเรซูเม่ตามปกติ ควรรู้ว่า plain text format นั้นเป็นมาตรฐานมาก และใช้เปิดรูปแบบอื่นๆ อย่างสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย ตัวอักษรแบบหนา หรือเอียง ถ้าต้องการใช้ ควรใช้เครื่องหมายดอกจัน (*) เครื่องหมายบวก (+) และตัวอักษรตัวใหญ่ (กรณีที่เขียนเป็น ภาษาอังกฤษ) แทน และไม่ว่าอย่างไรเสียก็ควรแน่ใจ ด้วยว่า Resume ของคุณนั้นต้องอ่านออก ได้ง่ายไม่ว่าจะใช้รูปแบบใดก็ตาม


  • ถ้าสามารถใช้แอพพลิเคชั่น word processing ได้ คุณควรตั้งขอบ หรือมาร์จินไว้ที่ 0 และ 65 ตัวอักษร (หมายความว่าบรรทัด ที่ยาวที่สุดไม่เกิน 65 ตัวอักษร ก่อนเริ่มบรรทัดใหม่) ซึ่งทำให้ Resume ของคุณง่าย ต่อการอ่าน และที่สำคัญก็คือ ปลอดภัย ที่จะพิมพ์ออกมา (โดยไม่มีการตกหล่นใดๆ) อีกด้วย


  • การใช้คำสั่ง "บันทึก" (หรือถ้าคุณกำลังเปลี่ยนเอกสารจากที่อื่นก็คือคำสั่ง "บันทึกเป็น") โดยบันทึกเอกสารของคุณ เป็นเอกสาร ASCII หรือ MS-DOS Text จำไว้ว่าต้องใส่ .txt ลงไปในไฟล์ด้วย เช่น resume.txt

  • เมื่อคุณส่ง Electronic Resumes อย่าลืมทำดังนี้
    • บอกถึงที่มาที่คุณพบโฆษณางานดังกล่าว
    • ส่ง Resume และจดหมายสมัครงาน ไปในไฟล์เดียวกัน คุณสามารถทำได้โดยการพิมพ์ หรือ คัดลอกของเดิมมาใส่ไว้ ในที่ว่างก่อนหน้า Resume คุณยังสามารถ ส่งจดหมายสมัครงาน ไปทางอี-เมล์โดยมี Resume อิเล็กทรอนิกส์เป็น attachment file
    • ใช้ชื่อตำแหน่งงานและ/หรือแหล่งที่มาของงานเป็นชื่อเรื่องของข้อความของคุณ
    • ติดตามผลงานด้วยอี-เมล์หรือโทรศัพท์หนึ่งสัปดาห์ หรือกว่านั้นหลังจากที่คุณได้ส่งไปแล้ว 
    • ที่มา : http://www.nationejobs.com/content/tiptools/jobtips/template.php?conno=56

    สำนวนที่ควรหลีกเลี่ยงในจดหมายสมัครงาน

    และต่อไปนี้ ก็คือ คำศัพท์และสำนวน ในการเขียนจดหมายสมัครงาน ที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งก็พอรวบรวมมาให้ดู ได้ดังนี้ครับ
    ควรหลีกเลี่ยงการเริ่มต้นจดหมาย ในลักษณะนี้
    1. This is in reply to your advertisement in......................................
    2. This is in answer to your advertisement for...........in...........................
    3. Your advertisement for...........caught my eyes as I read today's...........................
    4. Do you need...................who is experienced, hard-working and hones? I happened to notice your advertisement for one in......................................
    5. Thinking that you may require............................ . I am writing this letter to you. จะเห็นว่า สำนวนจากข้อ 1 ถึง 5 นี้ บางข้อก็จำเจ บางข้อก็ฟังดูเป็นการโอ้อวดเกินไป
    6. May I take the liberty of sending you my application?
    7. I beg to apply for the position of.............................
    8. I take the liberty of submitting my application.
    9. I submit my application for your sympathetic consideration.
    10. I submit my application for the said post.
    11. I submit my full particulars hereunder.
    12. I should feel highly obliged if you could kindly select me for the post.

    สำนวนจากข้อ 6 ถึง 12 นั้น เป็นภาษาอังกฤษที่เขียนแบบ เป็นทางการแบบเก่า ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้เนื้อหาจดหมายในลักษณะนี้
    1. I am an experienced typist. (ดิฉันเป็นนักพิมพ์ดีดที่มีประสบการณ์) การใช้คำขยายว่า experienced ดูเป็นการให้ข้อมูลที่กว้างเกินไป ควรจะคำนวณความเร็วของการพิมพ์ (Typing speed) ไปเลยว่านาทีละกี่ค่ำ เช่น
      My Thai (English) typing speed is ..........................words a minute.
    2. I have had four years experience with a well-known export company. (ผมมีประสบการณ์ 4 ปี กับบริษัทส่งออกที่มีชื่อเสียง) แทนที่จะใช้คำว่า well-known ก็ให้ระบุชื่อบริษัทไปเลย เพราะนายจ้างจะทราบเองว่า บริษัทที่เราเอ่ยถึงนั้นมีชื่อเสียงมากน้อยเพียงใด เราไม่ควรพูดยกยอเสียเอง
    3. .............the same. (ระบุไปเลยว่าเป็นอะไร)
    4. Your esteemed company.
    5. If you will be good enough to offer me a chance.
    6. I am enclosed herewith a copy of ..................
    7. .............to your complete/entire satisfaction.
    8. instant (เดือนนี้) คำนี้ไม่ควรใช้ให้ระบุเดือนลงไปเลย
    9. ...........at the early date.
    10. Resume and Degree Certificate are enclosed herewith for your perusal. ตัดคำว่า herewith ออก ส่วนคำว่า perusal ให้ใช้คำว่า consideration แทน
    11. Attached herewith is my resume.
    12. Please find enclosed my resume. (สำนวนนี้นิยมใช้ในจดหมายธุรกิจ)
    13. as per/pursuant to .........

    ควรหลีกเลี่ยงการลงท้ายจดหมายในลักษณะนี้
    1. A waiting the pleasure of a favorable response.
    2. In this endeavor I was eminently successful.
    3. Trusting you will give this application due and favorable attention.
    4. If you have any questions, please do not hesitate to let me know.
    5. If interested, please let me know.
    6. Thanking you once again.
    7. Hoping to hear from you soon.
    8. I hope you will not disappoint me.
    9. Thanking in anticipation/advance.
    10. Awaiting your early reply.
    11. I bet to remain.
    12. I have the honor to remain. Sir.
    13. Your most obedient servant.


    ครับ และนั่นก็เป็นตัวอย่าง ที่ยกมาให้ดูนะครับ และพยายามอย่านำไปใช้นะครับ ในตอนต่อไป ผมจะได้พูดถึงเรื่องการเขียนประวัติย่อ (Resume) กันเลย เพื่อท่านผู้อ่านจะได้นำไปใช้งานได้เร็วขึ้น ตอนนี้ขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ

    ที่มา:http://www.nationejobs.com/content/tiptools/jobtips/template.php?conno=27

    สำนวนภาษาอังกฤษใช้ในจดหมายสมัครงาน

    และในตอนนี้ผมก็จะขอพูดต่อ เกี่ยวกับสำนวนภาษาอังกฤษ ใช้ในจดหมายสมัครงาน ผู้สมัครงานต้องไม่ลืมว่า การเริ่มต้นจดหมายกับการลงท้ายจดหมายนั้น มีความสำคัญเท่าเทียมกันเลยทีเดียว และต่อไปนี้เป็นสำนวน การลงท้ายจดหมายในย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งก็จะเน้นตรงที่ว่า ขอให้ได้เข้าสัมภาษณ์ก่อน อย่างอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลัง ดังนี้

    สำนวนเกี่ยวกับการลงท้ายจดหมาย พร้อมทั้งขอเข้ารับ การสอบสัมภาษณ์


  • 1. May I have an interview to discuss my qualifications with you in greater detail? I can come to your office at any time convenient to you (whenever you suggest). My telephone number is....................................
    (ขอได้โปรดเรียกกระผม เข้าสอบสัมภาษณ์ เพื่อจะได้ทราบ รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับคุณสมบัติของกระผม กระผมสามารถ มายังสำนักงานของท่าน เวลาใดก็ได้ ตามที่ท่านจะสะดวก (ตามที่ท่านจะนัดหมาย) หมายเลขโทรศัพท์ ของกระผมคือ...........)
    2. After you have had an opportunity to review my qualifications and examine the enclosed resume, will you please call me at...........or write me about the possibility of beginning a career with your company. I would appreciate the opportunity to discuss my qualifications with you.
    (หลังจากที่ท่านได้มีโอกาสพิจารณา คุณสมบัติของกระผม และตรวจสอบประวัติย่อที่แนบมาแล้ว ขอได้โปรดเรียกตัวกระผม ตามหมายเลขโทรศัพท์............... หรือส่งจดหมาย แจ้งให้กระผมทราบเกี่ยวกับความเป็นไปได้ ที่จะได้เริ่มงานในบริษัทของท่าน กระผมจะขอบคุณมาก ถ้าได้มีโอกาสได้พูดกับท่าน เกี่ยวกับคุณสมบัติของกระผม)
    3. May I have the favour of a personal interview? I am free any time to come to your office. You may telephone me at...................or write to me at the above address.
    (ขอได้โปรดให้กระผม ได้มีโอกาสเข้ารับ การสอบสัมภาษณ์ เป็นการส่วนตัว กระผมว่าง ที่จะไปยังสำนักงาน ของท่านได้ทุกเวลา ท่านอาจจะโทรศัพท์ถึงกระผม ได้ตามหมายเลขนี้........... หรือส่งจดหมายถึงกระผม ตามที่อยู่ข้างบนนั้นก็ได้)
    4. May I have an opportunity for a personal interview? I would be grateful for the opportunity to discuss the matter with you at your convenience.
    (โปรดให้กระผมได้มีโอกาส เข้ารับการสอบสัมภาษณ์ เป็นการส่วนตัว กระผมจะขอบคุณมาก ถ้าได้มีโอกาสพูดคุยกับท่าน ตามเวลาที่ท่านจะสะดวก)
    5. A statement of my qualifications is enclosed. I shall be pleased to provide further details at a personal interview, and I can come to your office when it is convenient to you. You may reach me at the above address.
    (กระผมได้แนบใบแสดงคุณสมบัติ ของกระผมมาพร้อมกันนี้แล้ว กระผมยินดีที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม เมื่อได้เข้ารับ การสอบสัมภาษณ์เ ป็นการส่วนตัว และกระผมสามารถ มายังสำนักงานของท่านเมื่อใดก็ได้แล้วแต่ท่านจะสะดวก ท่านอาจจะติดต่อ กับกระผมตามที่อยู่ข้างบนนั้นก็ได้)
    6. I look forward to the pleasure of a personal interview.
    (กระผมหวังว่าคงจะได้รับความกรุณา ให้ได้เข้ารับการสอบสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว)
    7. I hope you will consider my application favourably and grant me an interview.
    (กระผมหวังว่า ท่านจะพิจารณาใบสมัครงาน ของกระผมในทางดี และอนุญาตให้กระผม ได้เข้ารับการสอบสัมภาษณ์)
    8. I would appreciate an interview and the opportunity to give you more details about myself.
    (กระผมจะขอบคุณมาก ถ้าได้เข้ารับการสอบสัมภาษณ์ และได้มีโอกาสให้รายละเอียด เกี่ยวกับตัวของกระผมกับท่าน)
    9. I would be very happy to call upon you at your convenience and discuss the possibility of putting my education and experience to work in your company. Please let me know when it is convenient and I will be there.
    (กระผมจะยินดีมาก ถ้าได้เข้าพบท่านตามเวลา ที่ท่านจะสะดวก เพื่อจะได้พูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ ที่กระผมจะได้ใช้ความรู้และ ประสบการณ์ในการทำงาน ในบริษัทของท่าน โปรดแจ้งให้กระผมทราบเมื่อท่านสะดวก และกระผมจะไปพบท่านตามนั้น)
    และผมก็ยุติไว้เพียงนี้ก่อนครับ ในตอนต่อไป จะได้พูดถึงสำนวนที่ควรหลีกเลี่ยง และต่อจากนั้นก็จะได้พูดถึงเรื่องที่เบาๆ สมองกันบ้างนะครับ สวัสดีครับ 




  • ที่มา:  http://www.nationejobs.com/content/tiptools/jobtips/template.php?conno=24



  • รายการบล็อกของฉัน