หวย หวยออนไลน์ Jetsadabet

บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 คำถามมาตรฐานของการสัมภาษณ์งาน ที่คุณจะต้องผ่านให้ได้ (ตอนจบ)

สุดท้าย ผมขอเล่าให้ฟังว่า เคยมีการสำรวจ เมื่อไรก็จำไม่ได้แล้ว เค้าพบว่า ส่วนมากนั้น คนสมัครหน้าใหม่ ที่มักจะเพิ่ฝเรียนจบนี่ล่ะ  ไม่ได้งานเพราะ “คิดไม่ผ่าน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน  ก็เลยจำเป็นที่คนที่จะเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานที่ใดก็ตาม จะต้องรู้จักเคล็ดวิชาการสัมภาษณ์งานให้ได้งานในเรื่องของ “การเตรียมความคิดและเตรียมใจ” ด้วยเช่นกัน  ซึ่ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ
อย่าได้ตื่นเต้นมากไป
เราไม่ได้ตื่นเต้นจากคำถาม ส่วนใหญ่ตื่นเต้นจากบรรยากาศ
แต่ว่าความตื่นเต้นไปเรื่องธรรมดาสามัญครับ  เพียงแต่ต้องหัดระงับไว้ให้ได้เท่านั้น  วิธีที่ดีในการระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่มักจะทำให้คุณประหม่าเวลาไปสัมภาษณ์ก็ ได้แก่ การกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องสัมภาษณ์และทำสมาธิ สูดหายใจลึก ๆ สัก 2-3 ทีเพื่อเรียกความมั่นใจ  ลองขยับหาอิริยาบถที่ทำให้นั่งสบาย จะช่วยได้มากครับ 
ต่อมาก็อย่าคิดว่ามันไปการสัมภาษณ์งานกับผู้หลักผู้ใหญ่ขององค์การซะก็ ช่วยได้  ลองคิดสิครับว่า คนที่มาสัมภาษณ์งานคุณนั่นล่ะคือคนที่จะต้องเป็นพี่เลี้ยงที่คอยสอนงานให้ คุณ  เค้าจะต้องรู้จักคุณให้ดีแทบจะทุกแง่มุม  โดยเฉพาะทัศนคติและตัวตนของคุณ  ซึ่งจริงจริงก็เป็นแบบนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่  ขอให้จินตนาการไปว่า คุณจะต้องคุยกับพี่เลี้ยงสิครับ  เพียงแต่ให้รักษามารยาทให้ดีงาม  ไม่ควรที่จะพูดแบบเป็นกันเองเกินไป     
แม้บริษัทจะเป็นฝ่ายเลือกเรา  แต่เราก็เป็นฝ่ายเลือกเขาด้วยเหมือนกัน
คนทำงานที่ก้มหน้าก้มตารับเงื่อนไขโดยไม่มีการเจรจาต่อรอง หรือการซักถามอะไรเพื่อที่จะพยายามให้จบการสัมภาษณ์อย่างเร็ว ๆ นั้น ไม่ใช่ผลดี คนเราทำงานมากกว่า 1 ใน 3 ของวัน การได้ทำงานในที่มีบรรยากาศในการทำงานแย่ เครียด และได้เงินไม่คุ้ม(ค่ากิน ค่าเดินทาง) การขายหมูปิ้งหน้าปากซอยบ้านอาจดีกว่า ! ดังนั้น อย่าปล่อยให้เขาเลือกเรา เราควรเลือกเขาไปด้วยพร้อมๆ กัน
ยิ่งอยากได้งาน บางที่ก็ยิ่งทำให้พลาดงานไปอย่างน่าเสียดาย 
ในงานขายตรง เขาสอนกันไว้ชัดเจนเลยว่า “อยากขายได้ จะขายไม่ได้” นั้นก็เพราะขณะที่เราอยากได้อะไรสักอย่าง รังสีอำมหิตก็เปล่งประกายจ้าจนมองเห็นได้จากสายตา … การสมัครงานก็เช่นกัน ผู้สัมภาษณ์จะเลือกเราเพราะเราเหมาะกับงานของเขา ไม่ใช่เพราะเราอยากมาทำงาน สิ่งที่เราควรจะต้องสะท้อนออกมาให้ได้ก็คือ การพร้อมที่จะทำงาน และเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่เราสมัครเข้ามา   
การสัมภาษณ์งาน คือ การแสดง (หรือไม่ก็ การประกวดนางงาม)
 คุณเคยทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หรือคนแปลกหน้าไหม … เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณเคยจีบ หรือ เคยโดนจีบไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอกกับคำถามไม่กี่ข้อ คำพูดไม่กี่คำ จะทำให้ “เรา” รู้จักกันจนหมดไส้พุง การสัมภาษณ์งานก็เหมือนกัน วางฟอร์มไว้หน่อย ไม่เสียหลาย ดีกว่า “ปล่อยไก่” ตั้งแต่แรกพบ
 ถึงไม่มีประสบการณ์ก็อย่าได้ท้อ 
บริษัทที่ผมร่วมงานในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในอีกหลายบริษัทที่ยินดีรับพนักงานที่เพิ่งเรียนคนจบมา ทำไมหรือครับ
ผมเองมองว่า คนที่จบมาใหม่มักจะไม่ใช่พวกคนที่เป็น “น้ำเต็มแก้ว”  เพราะยังไม่ได้เติมอะไรลงไปในชีวิตการทำงานของเขามากนัก  นอกเสียจากตัวตนของเขาซึ่งผมก็เชื่อเช่นกันว่า เขาต้องปรับให้เข้ากับองค์การให้ได้อยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ทุบหม้อข้าวจานชามของตัวเองไปเสีย  ในขณะที่คนที่มีประสบการณ์แม้จะมีข้อดีอย่างนึง  ที่รู้งานหรือมาต่อยอดในการทำงานได้ไม่ยากนัก ไม่ต้องฝึกสอนกันมาก  แต่ก็เสี่ยงในแง่ที่องค์การจะต้องเลือกคนที่มีทัศนคติแบบที่องค์การต้องการ จริง ๆ หรือเปล่า และก็เป็นธรรมดาที่คนที่มีประสบการณ์การทำงานมาก จะขีดเส้นตัวตนของตัวเองไว้ในระดับหนึ่ง เป็นพรมแดนที่ห้ามแตะ เพราะความคุ้นเคยกับการทำงานมานาน จึงเกิดอุปนิสัยบางอย่างที่ไม่เป็นที่ต้องการของสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น คนที่ทำงานผ่านโครงสร้างองค์การและระบบงานที่เน้นการควบคุม ก็จะติดระเบียบ หรือข้อกำหนดต่างๆ  หรือภาษาชาวบ้านก็คือ พวกบ้า Flow การทำงาน  อะไรนิดหน่อยที่เอาขั้นตอนการทำงานมาว่ากันซิ 
และสุดท้ายคนกลุ่มนี้ก็ไม่ค่อยที่จะยืดหยุ่นหรือเรียนรู้ รับรู้อะไรใหม่ ๆ 
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือ ในโลกของความเป็นจริง น้อง ๆ หลายคนที่เริ่มทำงานและอยู่กับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย  มักจะถูกสภาวะแบบครอบครัวกลืนให้เป็นคนที่ “ไปเรื่อย ๆ” ไม่ค่อยสนใจเรื่องความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเท่าไรนัก เว้นเสียแต่ น้อง ๆ บางคนที่มีความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมในการสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งคนกลุ่มนี้ ผมเชื่อว่าแทบจะทั้งนั้น มุ่งมั่นเรื่องงานมากกว่าเรื่องแฟน ทำนอง “งานเป็นใหญ่ หัวใจเป็นรอง”
ผมขอแนะนำให้ดูความแตกต่างของคนเหล่านี้ในขณะที่รอสัมภาษณ์ โดยวางหนังสือ 2-3 เล่ม ประกอบด้วย                              (1) หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  (2) หนังสือพวกนินทาดารา หรือนิตยสารบันเทิง  (3) National Geographic หรือหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายสัปดาห์    เอาไว้และดูว่าเขาจะหยิบอะไรมาอ่านระหว่างรอสัมภาษณ์  หากเขาหยิบ (1) (2) เชื่อว่าเขามีแนวโน้มแบบไม่ค่อยสนใจความเคลื่อนไหวของโลกที่มากไปกว่าเรื่อง ละควรน้ำเน่ากับเรื่องดาราเลิกกัน  ตรงข้ามกับการหยิบรายการที่ (3) มานั่งอ่านอย่างสนใจ  ถ้าให้ผมให้คะแนน คนที่ทำอย่างหลัง จะได้คะแนนมากกว่า 
แม้ว่าองค์การแทบจะทั้งนั้นต้องการคนมีประสบการณ์ แต่ข้อพึงระวังก็คือ คนทำงานที่มีประสบการณ์เหล่านี้  มักรู้ว่าจะต้องตอบอย่างไรเพื่อให้ได้งาน เว้นแต่พวกที่ทัศนคติแย่จริงจริง ซึ่งไปสัมภาษณ์งานที่ไหนก็คงไม่มีใครรับ  เช่น ด่าที่ทำงานเก่า  หรือหัวหน้างานคนเก่า  เป็นต้น   นี่เป็นข้อคิดที่ผมเตือนไปยังเหล่า Recruiter มือใหม่ทั้งหลายที่อาจจะหลงไปได้ง่าย ๆ  และจะเป็นที่น่าเสียดายยิ่งสำหรับองค์การ
ว่ากันมาเสียยืดยาวหลายตอน  ผมเชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งคนหางานและคนที่ทำงานสัมภาษณ์บุคลากรไม่มาก็น้อย ล่ะครับ  ท่านที่มีข้อแลกเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องนี้  แนะนำมาได้ครับ
ที่มา:  http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=2635

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รายการบล็อกของฉัน